คือการศึกษาว่าร่างกายมนุษย์ทำงานอย่างไรทั้งเมื่อคุณมีสุขภาพแข็งแรง และเมื่อคุณไม่แข็งแรง เมื่อคุณป่วยหรือได้รับบาดเจ็บ สรีรวิทยาปกติจะหยุดชะงัก นักสรีรวิทยามักทำงานร่วมกับผู้ให้บริการทางการแพทย์ บริษัทเภสัชกรรม และผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง แนวทางสรีรวิทยาเชิงบูรณาการนี้รวบรวมความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับระบบต่างๆ ของร่างกายในแนวทาง "ร่างกายทั้งหมด" เพื่อช่วยให้เรามีสุขภาพดีที่สุดตลอดชีวิต
สรีรวิทยาแบ่งออกเป็นระบบอวัยวะ 10 ระบบ ที่ทำหน้าที่ต่างกันในร่างกาย แต่ละระบบทำงานร่วมกันเพื่อให้ร่างกายมีชีวิตอยู่ต่อไป
- ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- ระบบย่อยอาหาร
- ระบบต่อมไร้ท่อ
- ระบบภูมิคุ้มกัน
- ระบบกล้ามเนื้อ
- ระบบประสาท
- ระบบไต
- ระบบสืบพันธุ์
- ระบบทางเดินหายใจ
- โครงกระดูก
1. พื้นฐานในการวินิจฉัยและรักษาโรค
ความรู้ด้านสรีรวิทยาช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เข้าใจกลไกการทำงานของร่างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และระดับออกซิเจนในเลือด ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการวินิจฉัยโรคและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม
2. การดูแลและป้องกันสุขภาพ
การเข้าใจหลักการทางสรีรวิทยาทำให้เราสามารถดูแลร่างกายได้ดียิ่งขึ้น เช่น การปรับอาหารให้เหมาะสมกับระบบย่อยอาหาร การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างระบบกล้ามเนื้อและกระดูก หรือการพักผ่อนเพื่อฟื้นฟูระบบประสาท การป้องกันโรคจึงเริ่มต้นจากการเข้าใจสรีรวิทยาของตนเอง
3. การพัฒนาวิทยาการทางการแพทย์
งานวิจัยด้านสรีรวิทยามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การพัฒนายาใหม่ การคิดค้นเครื่องมือทางการแพทย์ เช่น เครื่องช่วยหายใจ หรือการพัฒนาเทคนิคผ่าตัดที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ส่งเสริมสมรรถภาพทางกายและกีฬา
ในด้านการกีฬา ความรู้ทางสรีรวิทยาช่วยให้นักกีฬาและผู้ฝึกสอนสามารถปรับโปรแกรมการฝึกซ้อมเพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางร่างกาย เช่น การปรับช่วงเวลาการฝึกเพื่อเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ หรือการฟื้นฟูร่างกายหลังการออกกำลังกายอย่างหนัก
สรีรวิทยายังช่วยให้เราเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามช่วงอายุ เช่น การเจริญเติบโตในวัยเด็ก การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในวัยรุ่น การเสื่อมสภาพของระบบต่างๆ ในวัยผู้สูงอายุ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยในการวางแผนการดูแลสุขภาพที่เหมาะสมในแต่ละช่วงวัย
แหล่งข้อมูล