การเรียนวิชาภาษาอังกฤษในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เทอม 1 มีจุดมุ่งหมายเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนในการใช้ภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านไวยากรณ์ การสื่อสาร และการวิเคราะห์เชิงลึก โดยมีเนื้อหาสำคัญดังนี้
บทที่ 1: THE PRESENT PERFECT และ PAST PERFECT
บทที่ 2: การใช้ NOUN CLAUSES
บทที่ 3: การเขียนเชิงวิเคราะห์และการอ่านจับใจความ
การเรียนรู้ Past Participle ซึ่งเป็นรูปกริยาช่องที่ 3 นั้นมีความสำคัญมาก เนื่องจากใช้ในโครงสร้างของ Present Perfect และ Past Perfect รวมถึงการสร้างคำคุณศัพท์ (Adjectives) จากกริยา เช่น:
- Regular verbs: look ➔ looked ➔ looked
- Irregular verbs: go ➔ went ➔ gone
Present Perfect ใช้แสดงการกระทำที่เกิดขึ้นในอดีตและยังมีผลกระทบถึงปัจจุบัน หรือการกระทำที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่ระบุแน่ชัด เช่น:
- Subject + has/have + past participle – She has finished her homework. – They have lived here for 10 years.
การเปรียบเทียบการใช้ Simple Past กับ Present Perfect เพื่อแสดงความแตกต่าง เช่น:
- Simple Past: ใช้เมื่อระบุเวลาในอดีตชัดเจน เช่น Yesterday, Last week
- Present Perfect: ใช้เมื่อไม่ระบุเวลาชัดเจน เช่น already, just, ever
การใช้ Since และ For เพื่อแสดงช่วงเวลาใน Present Perfect:
- Since: ใช้กับจุดเริ่มต้นของเวลา เช่น since 2010, since last night
- For: ใช้กับระยะเวลา เช่น for 3 years, for a long time
- Present Perfect Continuous (“has/have been + V-ing”): ใช้แสดงการกระทำที่เริ่มต้นในอดีตและยังดำเนินต่อเนื่อง เช่น: – She has been studying for hours.
- Present Perfect: ใช้แสดงผลลัพธ์ของการกระทำ เช่น: – She has studied the whole chapter.
การใช้คำเหล่านี้ในประโยค Present Perfect:
- Already: ใช้ในประโยคบอกเล่า เช่น I have already eaten.
- Yet: ใช้ในประโยคคำถามหรือปฏิเสธ เช่น Have you finished yet?
- Still: ใช้แสดงการกระทำที่ยังคงดำเนินต่อเนื่อง เช่น She still hasn’t called.
- Anymore: ใช้ในประโยคปฏิเสธ เช่น I don’t live there anymore.
Past Perfect (“had + past participle”) ใช้แสดงการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนอีกเหตุการณ์ในอดีต เช่น:
- She had already left before he arrived.
- By the time we reached the station, the train had departed.
Noun Clauses ที่เริ่มต้นด้วย Question Words เช่น what, where, why, when ใช้เป็นประธานหรือกรรมในประโยค เช่น:
- I don’t know where she went.
- What he said surprised everyone.
ใช้ Who, What, Whose ร่วมกับ verb “be” เพื่อสร้าง Noun Clauses เช่น:
- Who is responsible for this?
- Whose book is on the table?
Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย If หรือ Whether ใช้ในการแสดงความไม่แน่ใจหรือการตั้งคำถาม เช่น:
- I don’t know if she will come.
- We are unsure whether it is possible.
การแทนที่คำว่า “so” ด้วย “that clause” เพื่อให้ประโยคมีความชัดเจน เช่น:
- He said so. ➔ He said that he would help us.
การเปลี่ยนจาก Quoted Speech (คำพูดตรง) เป็น Reported Speech (คำพูดรายงาน):
- Quoted: She said, “I am happy.”
- Reported: She said that she was happy.
การใช้กริยาสำหรับการรายงาน:
- Tell: She told me that she would come.
- Ask: He asked if I was ready.
- Answer/Reply: They replied that they agreed.
นักเรียนจะได้เรียนรู้การวิเคราะห์บทความหรือข้อความภาษาอังกฤษ โดยการแยกโครงสร้าง วิเคราะห์ใจความสำคัญ และตีความหมาย เช่น:
- การหา main idea และ supporting details
- การแยก fact และ opinion
การพัฒนาทักษะการเขียนย่อความโดยเน้นความถูกต้องและกระชับ เช่น:
- ใช้คำเชื่อมอย่างเหมาะสม เช่น therefore, however, in addition
- เขียนให้สอดคล้องกับเนื้อหาเดิม
ฝึกตอบคำถามที่ต้องใช้การวิเคราะห์และการสังเคราะห์ข้อมูล เช่น:
- What is the author’s purpose?
- How does the tone of the text affect its meaning?
- ฝึกทำแบบฝึกหัด ทบทวนเนื้อหาโดยการทำแบบฝึกหัดไวยากรณ์และการเขียนประโยคทุกวัน
- จำคำศัพท์และโครงสร้างประโยค สร้างแฟลชการ์ดสำหรับคำศัพท์และตัวอย่างประโยคเพื่อช่วยให้จำง่ายขึ้น
- ฟังและพูดภาษาอังกฤษ ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน เช่น ดูภาพยนตร์หรือฟังเพลงภาษาอังกฤษ
- เรียนรู้จากข้อผิดพลาด หมั่นตรวจสอบคำตอบและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดในแบบฝึกหัด
- ตั้งเป้าหมายในการพัฒนา วางแผนการเรียนโดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การอ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้ได้ 1 บทต่อสัปดาห์
การเรียนภาษาอังกฤษใน ม.6 เทอม 1 เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการศึกษาและการทำงานในอนาคต หากนักเรียนเข้าใจและสามารถนำไปใช้ได้จริง จะช่วยเพิ่มความมั่นใจและความเชี่ยวชาญในภาษาอังกฤษอย่างยั่งยืน