การเลิกจ้างเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อพนักงานหลายด้าน ทั้งสิทธิตามกฎหมายที่พนักงานควรได้รับเมื่อถูกเลิกจ้าง และขั้นตอนการเลิกจ้างตามกฎหมายแรงงานที่นายจ้างต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้การเลิกจ้างเป็นไปอย่างถูกต้องและยุติธรรม โดยบทความนี้จะอธิบายขั้นตอน สิทธิพนักงานที่ต้องรู้เมื่อถูกเลิกจ้าง และกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจอย่างครบถ้วน และได้รับประโยชน์สูงสุดจากข้อมูลนี้
การเลิกจ้าง หมายถึง การที่นายจ้างยุติสัญญาการจ้างงานกับลูกจ้าง ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม เช่น การลดจำนวนพนักงาน ปรับโครงสร้างองค์กร หรือประสิทธิภาพการทำงานของลูกจ้างไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ซึ่งการเลิกจ้างต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน เพื่อให้ลูกจ้างได้รับความเป็นธรรมและคุ้มครองสิทธิอย่างเหมาะสม
กฎหมายหลัก ๆ ที่กำหนดสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับการเลิกจ้างในประเทศไทย ได้แก่
1. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม)
2. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมวดสัญญาจ้างแรงงาน
นายจ้างต้องแจ้งการเลิกจ้างล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 รอบการจ่ายค่าจ้าง (ปกติ 30 วัน) หรือถ้าไม่แจ้ง ต้องชดเชยค่าจ้างแทนการแจ้งล่วงหน้า
ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดร้ายแรง จะมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามระยะเวลาการทำงาน
ตัวอย่างเช่น
- ทำงานตั้งแต่ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ได้รับค่าชดเชย 30 วัน
- ทำงานตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป ได้รับค่าชดเชย 300 วัน (ตามการแก้ไขปี 2562)
นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากลูกจ้างกระทำผิดร้ายแรง เช่น
- ทุจริต
- ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
- ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับโดยไม่คำนึงคำเตือน
- ขาดงานติดต่อกัน 3 วันทำการโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ลูกจ้างที่เห็นว่าตนถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม มีสิทธิยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงานหรือฟ้องศาลแรงงานได้
กำหนดว่าลูกจ้างมีหน้าที่ทำงานตามคำสั่งของนายจ้าง และนายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างตามที่ตกลงกัน
ทั้งนายจ้างและลูกจ้างสามารถเลิกสัญญาได้ โดยต้องบอกกล่าวล่วงหน้า
นายจ้างสามารถเลิกสัญญาทันที หากลูกจ้างผิดสัญญาอย่างร้ายแรง
- นายจ้างต้องแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน หากต้องการเลิกจ้างพนักงาน โดยการแจ้งนี้ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร และส่งให้พนักงานทราบล่วงหน้าก่อนวันที่มีผลบังคับการเลิกจ้าง
- หากนายจ้างไม่สามารถแจ้งล่วงหน้าได้ จะต้องจ่ายค่าชดเชยแทนการแจ้งล่วงหน้า (เรียกว่าค่าบอกกล่าว) โดยคำนวณจากรายได้ที่พนักงานควรจะได้รับในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนั้น
การเลิกจ้างที่ไม่มีความผิดของพนักงาน นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุการทำงานของพนักงาน ดังนี้
- ทำงานครบ 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วัน
- ทำงานครบ 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 90 วัน
- ทำงานครบ 3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 180 วัน
- ทำงานครบ 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 240 วัน
- ทำงาน 10 ปีขึ้นไป : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 300 วัน
- ทำงาน 20 ปีขึ้นไป : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 400 วัน
นายจ้างสามารถเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย หากพนักงานทำผิดร้ายแรง เช่น การยักยอกทรัพย์บริษัท ทำร้ายร่างกายผู้อื่น จงใจทำให้บริษัทเสียหาย หรือขัดคำสั่งอย่างร้ายแรง โดยต้องมีหลักฐานชัดเจนและต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการเลิกจ้างตามมาตรา 119
นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างที่ค้างอยู่ทั้งหมดแก่พนักงาน รวมถึงค่าล่วงเวลา (ถ้ามี) และค่าชดเชยอื่น ๆ ภายใน 3 วันทำการนับจากวันที่มีการเลิกจ้าง เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 70 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พนักงานมีสิทธิขอใบรับรองการทำงาน โดยนายจ้างจะต้องออกให้เพื่อระบุถึงระยะเวลาการทำงานและตำแหน่งที่พนักงานเคยปฏิบัติ ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักฐานในการสมัครงานใหม่
กรณีถูกเลิกจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พนักงานที่เป็นสมาชิกประกันสังคมสามารถขอรับเงินทดแทนจากกองทุนประกันสังคมในอัตราที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือสูงสุด 50% ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน
หากพนักงานรู้สึกว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรม สามารถดำเนินการยื่นเรื่องร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
- ยื่นเรื่องต่อ สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อขอให้ตรวจสอบการเลิกจ้างว่ามีความเป็นธรรมและถูกต้องหรือไม่
- ยื่นเรื่องต่อ ศาลแรงงาน เพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งศาลอาจสั่งให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยเพิ่มเติมหรือคืนตำแหน่งหากพบว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างถูกต้องและการเข้าใจสิทธิของพนักงานจะช่วยให้การเลิกจ้างเป็นไปอย่างเป็นธรรม และป้องกันการละเมิดสิทธิของพนักงาน
สิทธิของพนักงานเมื่อถูกเลิกจ้างในประเทศไทยมีหลายด้านที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน ซึ่งทำให้พนักงานสามารถได้รับการชดเชยและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ตามระเบียบที่กำหนดไว้ โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้
ตามมาตรา 118 นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุการทำงานของพนักงาน ยกเว้นกรณีที่พนักงานทำผิดร้ายแรง
เมื่อพนักงานถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดหรือเลิกจ้างเนื่องจากนายจ้างเลิกกิจการ กฎหมายกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุการทำงาน โดยมีอัตราค่าชดเชยตามระยะเวลาที่ทำงาน ดังนี
- ทำงาน 120 วันขึ้นไปแต่ไม่ถึง 1 ปี : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 30 วัน
- ทำงาน 1 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 3 ปี : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 90 วัน
- ทำงาน 3 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 6 ปี : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 180 วัน
- ทำงาน 6 ปีขึ้นไปแต่ไม่ถึง 10 ปี : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 240 วัน
- ทำงาน 10 ปีขึ้นไป : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 300 วัน
- ทำงาน 20 ปีขึ้นไป : ได้รับค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้าง 400 วัน
พนักงานมีสิทธิได้รับค่าจ้างและเงินค่าตอบแทนที่นายจ้างค้างจ่ายทั้งหมด รวมถึงค่าล่วงเวลา และค่าชดเชยอื่น ๆ ที่พนักงานทำงานไปแล้ว โดยนายจ้างจะต้องจ่ายเงินเหล่านี้ภายใน 3 วัน หลังจากวันที่พนักงานถูกเลิกจ้าง
หากพนักงานที่เป็นสมาชิกประกันสังคมถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิดส่วนตัว สามารถขอรับเงินทดแทนการว่างงานจากสำนักงานประกันสังคมได้ตามกฎหมาย
ได้รับเงินทดแทนในอัตรา 50% ของค่าจ้างเฉลี่ย เป็นระยะเวลา 180 วัน หากเป็นกรณีเลิกจ้าง
ตามกฎหมายแรงงาน พนักงานมีสิทธิขอเอกสารรับรองการทำงานจากนายจ้าง โดยนายจ้างต้องออกเอกสารนี้ให้ ซึ่งควรระบุถึงระยะเวลาการทำงานและตำแหน่ง เพื่อให้พนักงานสามารถใช้ในการสมัครงานใหม่ได้
ตามมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน นายจ้างต้องแจ้งพนักงานล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือน หากจะเลิกจ้าง แต่หากนายจ้างไม่สามารถแจ้งล่วงหน้าได้ ต้องจ่ายเงินแทนการแจ้งล่วงหน้าคิดตามค่าจ้าง 1 เดือน หรือเท่ากับค่าจ้างที่พนักงานได้รับในช่วง 1 เดือน
หากพนักงานเห็นว่าการเลิกจ้างนั้นไม่เป็นธรรม สามารถยื่นเรื่องร้องเรียนหรือฟ้องร้องต่อสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือศาลแรงงานได้ โดยสามารถร้องขอให้มีการตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นธรรมในการเลิกจ้าง และเรียกร้องค่าชดเชยเพิ่มเติมหรือขอคืนตำแหน่งได้หากศาลเห็นว่าการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
ตามกฎหมายแรงงาน หากนายจ้างเลิกกิจการบางส่วนหรือทั้งหมด และต้องเลิกจ้างพนักงานเนื่องจากเหตุผลดังกล่าว พนักงานจะมีสิทธิได้รับการชดเชยพิเศษ ซึ่งอาจจะเพิ่มจากการชดเชยปกติ โดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำงาน
1. ทุจริตต่อหน้าที่/กระทําความผิดอาญาต่อนายจ้าง
2. จงใจทําให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
3. ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่าง ร้ายแรง
4. ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน ระเบียบ คําสั่งนายจ้างอันชอบ ด้วยกฎหมายและเป็นธรรม นายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว ถ้าร้ายแรงไม่ต้องตักเตือน หนังสือเตือนมีผล 1 ปี นับแต่วันทําผิด
5. ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทํางานติดต่อกันไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือ ไม่ก็ตามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
6. ได้รับโทษตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก
***ถ้าเข้าเงื่อนไขข้างต้นนี้ นายจ้างเลิกจ้างได้ทันที ไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ข้อมูลอ้างอิง
กฎหมายคุ้มครองแรงงาน
กรมประชาสัมพันธ์
กระทรวงแรงงงาน