Digital SAT เป็นการสอบรูปแบบใหม่ที่ทาง College Board ประกาศแจ้งไว้ซึ่งจะแตกต่างจากการสอบ SAT แบบเดิมโดยเริ่มครั้งแรกในการสอบรอบ March 2023 Digital SAT คือการสอบ SAT ด้วยคอมพิวเตอร์หรือTablet ที่สนามสอบ นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องอื่นๆ เช่น เนื้อหาที่สอบ, เวลาที่ใช้สอบ และที่น่าสนใจคือการเป็นข้อสอบแบบ Adaptive Testing
Digital SAT ยังคงสอบด้วยกันทั้งหมด 2 วิชา คะแนนเต็มรวมยังคงอยู่ที่ 1,600 คะแนน แบ่งเป็น Evidence-Based Reading and Writing 800 คะแนน และ Mathematics 800 คะแนน เหมือนเดิม
เพียงแต่การทำข้อสอบจะเปลี่ยนจากการใช้กระดาษคำตอบมาเป็นการสอบผ่านคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค
หรือTablet แทน ในการสอบ Digital SAT นอกจาก คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหรือTabletแล้ว น้อง ๆ จำเป็นต้องโหลดแอปพลิเคชั่น Bluebook เพื่อใช้ในการสอบอีกด้วย
SAT VS Digital SAT ต่างกันอย่างไร?
น้อง ๆ ที่กำลังจะสอบ Digital SAT ในปี 2023 นี้มาเช็กกันนะคะว่ามีอะไรเหมือนหรือต่างไปจากการสอบ SAT รูปแบบเดิมบ้าง
สิ่งที่เหมือนกันของ SAT และ Digital SAT
1. คะแนนเต็ม 1600 คะแนน
SAT และ Digital SAT แบ่งเป็น 2 พาร์ทคือ Reading and Writing และ Mathematics มีคะแนนเต็มพาร์ทละ 800 คะแนน และมีคะแนนรวมกัน 1600 คะแนน
2. เนื้อหาที่ออกสอบ
- Reading and Writing พาร์ท เนื้อหาข้อสอบยังคงเป็น Academic, Literature, History/Social Studies, Humanities, Science
- Mathematics พาร์ท เนื้อหาข้อสอบยังคงเป็น Algebra, Advanced Math, Problem-Solving & Data Analysis, Geometry and Trigonometry
3. การตอบคำถาม
ยังเป็น Multiple Choice 4 ตัวเลือกเหมือนเดิม รวมถึง Math ยังคงมีทั้งเลือกตอบและใส่คำตอบได้เอง
4. สอบที่ศูนย์สอบ
ถึงแม้ว่าจะมีการสอบผ่าน คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหรือTablet แต่น้อง ๆ ยังคงต้องไปสอบที่ศูนย์สอบเช่นเดิมนะคะ ไม่สามารถสอบที่บ้านได้ค่ะ
5. มีแบบฝึกหัดให้หัดทำ
ยังคงมีแบบฝึกหัดให้น้อง ๆ สามารถฝึกทำได้เช่นเดิม
Digital SAT เปลี่ยนไปยังไง?
1. จำนวนข้อสอบและใช้เวลาสอบลดลง
- SAT Verbal จากเดิมใช้เวลา 1.30 ชั่วโมง จำนวน 96 ข้อ ลดลงเหลือเวลาประมาณ 65นาที จำนวนข้อสอบ 54 ข้อ และทุกข้อจะมี passage ของตัวเอง ความยาว 5-7 บรรทัด มี choice
- SAT Math จากเดิมใช้เวลา 1.20 ชั่วโมง จำนวน 58 ข้อ ลดลงเหลือเวลาประมาณ 70 นาที ข้อสอบรวม 44 ข้อ Part MATH สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้หมดทุกข้อ โดยสามารถใช้ได้ในแอปพลิเคชั่น Bluebook หรือนำเครื่องคิดเลขของตนเองเข้าไปได้
*โดยรวมแล้ว เวลาสอบจะลดลง จากเดิมประมาณ 3ชัวเหลือ เหลือเพียง 2ชั่วโมง 15 นาที และจำนวนข้อสอบก็ลดลงด้วย*
2. ข้อสอบจะเป็น Adaptive Testing แบ่งเป็น 2 Module
Adaptive Testing คือ เป็นการสอบที่ปรับเปลี่ยนความยากตามความสามารถของผู้เข้าสอบ โดยจะรันคำถามด้วยระบบคอมพิวเตอร์ กล่าวคือ หากทำข้อสอบข้อแรกถูกต้องระบบจำนำคำถามข้อที่ยากขึ้นมาให้ ถ้าทำถูกก็จะได้คะแนนสูงขึ้น แต่ถ้าทำผิดระบบก็จะนำคำถามที่ง่ายลงมาให้
โดยการสอบ Digital SAT จะแบ่งเป็น
- Part Reading & Writing (Module ละ 27 ข้อ) ข้อสอบจะถูกแบ่งออกเป็น
Module 1 ข้อสอบง่าย
Module 2 ข้อสอบยาก
โดย Module 1 ทุกคนจะได้ทำข้อสอบเหมือนกัน และถ้าได้คะแนนมากกว่า 60% น้องๆ ก็จะได้ไปทำ Module 2 แต่ถ้าไม่ถึง 60% น้องๆ ก็จะได้ Easy Test แทน ซึ่งมีโอกาสได้คะแนน 200-600 คะแนน
- Part MATH (Module ละ 22 ข้อ) ข้อสอบจะถูกแบ่งออกเป็น
Module 1 โจทย์พื้นฐาน
Module 2 โจทย์ยาก
เนื้อหาคงเดิม โจทย์ปัญหา (word problems) จะสั้นและกระชับขึ้นด้วย
3. การอนุญาตให้ใช้เครื่องคิดเลขใน Part MATH
น้อง ๆ สามารถใช้ เครื่องคิดเลขใน Part MATH ได้ โดยไม่มีการแบ่งเป็น part Cal และ No Cal อีกต่อไป
4. ความสะดวกในการสอบ
- น้อง ๆ สามารถคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คหรือTablet ส่วนตัวได้เพียงแค่โหลดแอปพลิเคชั่น Bluebook เพื่อใช้ในการสอบ
- สามารถใช้เครื่องคิดเลขได้ในแอปพลิเคชั่น Bluebook ได้เลย ไม่ต้องพกเครื่องคิดเลขเข้าไปก็ได้ แต่ถ้าใครไม่ถนัดจะพกของตัวเองไปด้วยก็ได้นะ
- ฟีเจอร์สัญลักษณ์แจ้งเตือนข้อที่ยังไม่ได้ทำ มีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีแดงที่ข้อนั้นๆ จะทำให้เราเห็นชัดเจนว่าเรายังไม่ได้ตอบเพื่อที่น้อง ๆ จะได้ไม่พลาดคะแนนอีกด้วย
- ฟีเจอร์นาฬิกาคอยเตือนเวลา จะมีการนับถอยหลังเวลาคอยเตือนน้อง ๆ ทำให้น้อง ๆ สามารถบริหารจัดการเวลาในการทำข้อสอบได้
5. การจัดส่งคะแนนที่เร็วขึ้น
การสอบ Digital SAT ทำให้คะแนนออกเร็วขึ้น น้อง ๆ สามารถนำคะแนนยื่นเข้ามหาวิทยาลัยได้เร็วขึ้น
น้อง ๆ จะเห็นได้ว่า Digital SAT ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพียงแค่มีการปรับรูปแบบการสอบให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบัน มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าสอบมากขึ้น