กรณีผู้ประกันตนมาตรา 33 ลาออกจากงานหรือถูกเลิกจ้างจากงานประจำ จะยังคงได้รับความคุ้มครองจากกองทุนประกันสังคมต่อเนื่องไปอีก 6 เดือน โดยสามารถใช้สิทธิการคุ้มครองครบทั้ง 7 กรณีโดยไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ ได้แก่
1. การได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บ
2. ทุพพลภาพ
3. เสียชีวิต
4. คลอดบุตร
5. สงเคราะห์บุตร
6. ชราภาพ
7. ว่างงาน
ส่วนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการได้สิทธิคือ ต้องส่งเงินสมทบครบก่อนสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ซึ่งหมายความว่า กรณีเจ็บป่วย และกรณีทุพพลภาพ ผู้ประกันตนต้องเคยส่งเงินสมทบมาแล้ว 3 เดือน ภายใน 15 เดือน ส่วนกรณีคลอดบุตร ต้องเคยส่งเงินสมทบมาแล้ว 5 เดือน ภายใน 15 เดือน และกรณีเสียชีวิต ต้องเคยส่งเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน ภายใน 6 เดือน ทั้งนี้หากภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังลาออกจากงานหรือถูกเลิกจ้าง ผู้ประกันตนยังไม่ได้กลับเข้าทำงานกับนายจ้าง หรือกลับเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 สิทธิประกันสังคมจะสิ้นสุดลงอัตโนมัติ
หากผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงานหรือถูกเลิกจ้าง ต้องการรักษาสิทธิประโยชน์ประกันสังคมให้คุ้มครองต่อเนื่อง ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังลาออกจากงาน สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 โดยจ่ายเงินสมทบเพียงเดือนละ 432 บาท และยังคงได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เหมือนลูกจ้างผู้ประกันตนมาตรา 33 ยกเว้นกรณีว่างงานเพียงกรณีเดียว
ผู้สมัครต้องเคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาก่อน โดยนำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่ลาออกจากงาน อีกทั้งต้องไม่เป็นผู้รับประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพ
เอกสารที่ต้องใช้ในการสมัคร
● แบบขอเป็นผู้ประกันตนมาตรา 39 (สปส.1-20)
● บัตรประชาชนตัวจริง หรือบัตรอื่นที่มีรูปถ่ายซึ่งทางราชการออกให้ พร้อมสำเนา
● กรณีต้องการนำส่งเงินสมทบหักผ่านบัญชีธนาคารให้ถ่ายสำเนาสมุดบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์หน้าแรกที่มีชื่อและเลขบัญชีของผู้ประกันตน
ยื่นใบสมัครที่ไหน
ควรยื่นใบสมัครด้วยตนเองภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลาออกจากงาน
● สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 12 แห่ง (กทม.) และสำนักงานประกันสังคมจังหวัด
● สำนักงานประกันสังคมจังหวัดสาขา (ภูมิภาค)
เงื่อนไขการส่งเงินสมทบกองทุน
ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนต่อสำนักงานประกันสังคมเดือนละ 432 บาท ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ซึ่งผู้ประกันตนจะได้รับการคุ้มครองต่อเนื่องจาการประกันตนในมาตรา 33 โดยจะได้รับความคุ้มครองใน 6 กรณี คือ กรณีเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ
หากผู้ประกันตนไม่จ่ายเงินสมทบตามกำหนดจะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน และหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัวที่สำนักงานประกันสังคมต้องรู้ เช่น การเปลี่ยนที่อยู่ การเปลี่ยนชื่อ–นามสกุล ควรแจ้งการเปลี่ยงแปลงล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน พร้อมแนบสำเนาหลักฐานด้วย
แหล่งข้อมูล