Our Beloved Summer เป็นเรื่องราวของ กุกยอนซู สาวเก่ง แกร่ง ที่ต้องกลับมาเจอกับ ชเวอุง แฟนเก่าอีกครั้ง เพราะเขากลายเป็นศิลปินชื่อดังที่เธอต้องดึงมาร่วมงานด้วย งานนี้ เพื่อเอาคืนที่ถูกทิ้งโดยไม่รู้เหตุผล ชเวอุงจึงยื่นข้อเสนอให้กุกยอนซูยอมถ่ายสารคดีคู่กับเขาอีกครั้ง หลังจากที่ทั้งสองเคยถ่ายสารคดีติดตามชีวิตเด็กนักเรียนที่ผลการเรียนอันดับหนึ่งและโหล่ของโรงเรียนด้วยกันจนกลายเป็นคลิปโด่งดังเมื่อสิบปีที่แล้ว
งานนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าทำงานเก่ง กุกญอนซูจึงต้องยอมรับข้อเสนอ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า หัวใจที่เธอแสร้งทำเป็นเข้มแข็งกลับอ่อนยวบเมื่อได้กลับมาใกล้ชิดกับชเวอุงอีกครั้ง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเดินไปทางไหน ในเมื่อชเวอุงไม่ใช่เจ้าเห่ยคนเดิม และยังมีไอดอลสาวมาติดพันอีกด้วย
อ่านพล็อตแล้ว หลายคนคงคิดว่าจะปวดตับและร้องไห้หนักมาก แต่ Our Beloved Summer กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่น และการหวนระลึกถึงวัยเด็ก วัยที่ทุกคนยังสดใส วัยที่ทุกคนกำลังตามความฝัน (แม้จะมีหรือไม่มีก็ตาม) ความรักของกุกยอนซูและชเวอุง แนบแน่นกว่าที่พวกเขาจะรู้ตัวเสียอีก การลำดับเรื่องจะเล่าสลับกันไปตามมุมมองของตัวละคร แต่ไม่ต้องกลัวงงนะคะ เพราะเราคิดว่าการตัดจ่อและลำดับเรื่องทำได้ดีมาก ๆ เราจะได้รู้ไปพร้อม ๆ กันว่าความคิดของกุกยอนซูและชเวอุงเป็นอย่างไร และ 5 ปีที่เลิกกันไป ต่างก็เจ็บปวดกันทั้งสองคน
ตอนแรกเรากะดูตอนเวลาว่างเฉย ๆ แต่เนื้อหาของซีรีส์รวมทั้งเคมีของนักแสดงกลับผูกให้เราตามดูจนจบตอนปัจจุบัน (ขณะที่เขียนอยู่นี้ ออนแอร์ได้ 6 ตอนแล้วค่ะ) เรียกได้ว่าเป็นซีรีส์แนว Slice of life ที่กล่าวถึงการทำงานของหนุ่มสาวในปัจจุบัน รวมทั้งความสัมพันธ์ของคนรอบตัว เรื่องจึงดำเนินไปอย่างช้า ๆ แต่ไม่น่าเบื่อนะคะ เพราะคนเขียนบทใส่รายละเอียดไว้เยอะ ประกอบกับเทคนิกการเล่าเรื่องที่ทำได้อย่างมีชั้นเชิง รวมทั้งการแสดงของนักแสดงนำอย่าง คิมดามี และ ชเวอูชิก ที่แสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเรากลายเป็นเพื่อนของกุกยอนซูและชเวอุงเลยทีเดียว
นอกจาก Our Beloved Summer จะพูดถึงความสัมพันธ์ของคนที่เป็นแฟนเก่ากลับมาร่วมงานกันแล้ว ซีรีส์ยังพูดถึงประเด็นความไม่เท่าเทียมกัน ที่ยังเป็นปัญหาของหนุ่มนาวยุคใหม่อยู่เหมือนกัน เพราะตัวของกุกยอนซูนั้นเกิดมายากจน ทำให้เธอไม่กล้ามีเพื่อน เพราะการมีเพื่อนสำหรับเธอคือการต้องหยิบยื่นน้ำใจให้ เช่น การซื้อของขวัญ หรือการเลี้ยงขนม ดังนั้นกุกยอนซูจึงเลือกอยู่คนเดียวและตั้งใจเรียน จนบางครั้งเธอเหมือนคนที่เข้าสังคมไม่เป็น
ต่างจากชเวอุงที่ใฝ่ฝันอยากใช้ชีวิตสบาย ๆ นอนอาบแดดใต้ร่มไม้อย่างสงบ นั่นเพราะครอบครัวของชเวอุงนั้นเปิดร้านอาหาร (ค่อนข้างดังในย่านนั้น) ทำให้เขาไม่ต้องดิ้นรน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชเวอุงจะเป็นคนไม่เอาไหน เพราะเขาเองก็มีความฝันที่อยากจะเป็นศิลปิน เมื่อเกิดเหตุให้ทั้งสองต้องเลิกกัน ชเวอุงจึงใช้ความเศร้าผลักดันให้เขาได้ทำงานที่รักจนชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ตัวซีรีส์ให้คุณค่าของอาชีพศิลปินมาก ๆ ดูแล้วเราอิ่มใจแทนคนในแวดวงศิลปะเลยนะคะ