พระนักศึกษาองค์หนึ่ง ศึกษาปรมัตถ์มาเป็นเวลาสิบ ๆ ปี เขียนคำอธิบายที่ลึกซึ้งไว้มากมาย เป็นหนังสือหาบใหญ่ ๆ เต็มหนักอึ้งทีเดียว
วันหนึ่งก็หาบเอาคำอธิบายปรมัตถ์เหล่านี้ จะไปอวดแสดงแก่เพื่อนฝูงที่เมืองอื่น ไปตามทางหิว ก็แวะข้างทางซื้อขนมอี๋ของอาซิ้มแก่ ๆ คนหนึ่ง
อาซิ้มบอกว่า จะขอถามปัญหาสักนิดเดียวเท่านั้น ถ้าตอบได้เป็นที่พอใจแล้ว ก็จะถวายขนมอี๋ให้กินไม่ต้องซื้อ
พระองค์นั้นก็ถามว่า “ปัญหาว่าอย่างไรเล่า”
อาซิ้มก็บอกว่า
“ความคิดที่เกิดขึ้นพอเกิดแล้วก็กลายเป็นอดีต ความคิดที่ยังไม่ได้เกิดก็ยังไม่ได้เกิดขึ้น จิตหรือความคิดที่เป็นปัจจุบันอยู่ที่ตรงไหน ?
ขอให้พระคุณเจ้าช่วยชี้ให้เห็นสักที”
พระองค์นี้ก็งง นิ่งอึ้งไปในที่สุด ก็สารภาพว่า
“ไม่เห็นว่ามีชีวิตหรือจิตที่เป็นปัจจุบัน”
ยายแก่ก็ถามว่า
“ถ้ามันไม่มีชีวิตที่เป็นปัจจุบันแล้วการปฏิบัติของเรามันจะได้ประโยชน์อะไร ก็มิได้มีอะไรที่มีอยู่จริงเช่นนี้”
พระองค์นั้นก็เลยตอบไม่ได้ ยายแก่ก็ไม่ให้ขนมกิน
พระก็ละอายจนหายหิว ก็เลยเอาพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ตั้งหาบหนึ่งนั้น ไปเผาไฟเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป เพราะว่า ความคิดหรือสติปัญญาเขียนมาตั้งหาบหนึ่งอย่างนี้แล้ว มันก็ยังไม่ตอบปัญหาของยายแก่เพียงคำ ๆ เดียวได้ ตรงที่ว่าจิตไหนนะเป็นจิตปัจจุบัน เอาคัมภีร์เหล่านั้นไปเผาซะให้หมดแล้วไปทำความเพียรต่อไปอีก เพื่อให้รู้ได้ว่ามันมีจิตไหนที่เป็นปัจจุบันอย่างนี้
ท่านทั้งหลายลองคิดดูให้ดี ๆ ว่า ตัวอย่างเช่นนี้มันมีความหมายอย่างไร
แต่คนก็ยังคิดว่า มันมีอดีต อนาคต ปัจจุบัน ถ้าจะอธิบายกันในข้อนี้มันก็เป็นเรื่องของกิเลส ตัณหา คือความอยากและความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ของความอยากเขาก็ว่าเป็นเรื่องใหม่ เปลี่ยนอารมณ์ของความยึดมั่นถือมั่นเขาก็ว่า เป็นเรื่องใหม่ ก็เลยเอาไอ้เรื่องที่แล้วไปนั้นเป็นอดีต และเรื่องใหม่ที่กำลังอยาก กำลังยึดมั่นถือมั่นอยู่นั้นเป็นปัจจุบัน โดยไม่ต้องรู้ว่าแม้แต่ความอยากหรือความยึดมั่นถือมั่นนั้นมันก็เปลี่ยน แต่เมื่อมันโง่ทันกันไปกับอารมณ์เหล่านั้น มันก็ดูเหมือนกับว่ามิได้เปลี่ยน
เหมือนกับว่า เรามองดูสิ่งที่เดินไปหรือเคลื่อนไปพร้อม ๆ กันกับเรา เราก็ไม่รู้สึกว่ามันมีอะไรเคลื่อนไป
ตัวอย่างที่ท่านอาจสังเกตเห็นได้ง่ายๆ ก็เช่นว่า ถ้ารถไฟสองขบวนแล่นเคียงกันไปในความเร็วที่เท่ากัน ไอ้คนที่นั่งมองหน้าต่างจ่อหน้าซึ่งกันและกัน ก็จะไม่รู้สึกว่ารถไฟนี้วิ่งไปเพราะมันเคลื่อนไปพร้อมกัน นี่แหละคือความโง่ของคน ที่มันเคลื่อนไปพอดีกันกับความเปลี่ยนแปลงของ อดีต อนาคต ปัจจุบัน มันก็ทำให้เห็นเป็นเรื่องที่ว่า มีอดีต อนาคต ปัจจุบัน ไม่เห็นว่ามีอดีต อนาคต ปัจจุบัน แต่เพราะว่าไอ้ความโง่นั้นมันมีมาก ไม่ทำให้รู้สึกเช่นนั้น มันจึงมีอดีต มีอนาคต มีปัจจุบัน เราจะต้องระวังไม่ให้ถูกหลอกเช่นนี้ จึงจะถอนตัวออกมาเสียได้จากความโง่ชนิดนั้น
และรู้สึกว่า อดีต อนาคต ปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องหลอก เป็นเรื่องมายา ที่พูดกันว่าปัจจุบันนั้นหาได้เป็นปัจจุบันจริงไม่
คือในกระแสของความเปลี่ยนแปลงนั้นมันมี อดีต อนาคต ปัจจุบัน แต่เพียงสมมติเท่านั้น มิได้มีอยู่จริงเลย
คือถ้าจะพูดว่าปัจจุบันมันก็ปัจจุบันแต่ในภาษาคนหาใช่ปัจจุบันในภาษาธรรมไม่
เพราะว่า ปัจจุบันในภาษาธรรมนั้นต้องหมายถึง สิ่งที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นความว่าง เป็นต้น
ถ้าผู้ใดได้ศึกษาพิจารณาดูให้ดีก็จะเห็นว่า สิ่งที่เรียกว่า ความว่างเป็นต้นนั้นหรือจะเรียกว่า พระนิพพาน หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามใจ มันไม่มีความเปลี่ยนแปลง
เมี่อไม่มีความเปลี่ยนแปลงมันก็เป็นอะไรอยู่อย่างนั้นเอง มันจึงเป็นปัจจุบันอยู่ที่นั่น คือ ไม่อาจจะเป็นอดีต หรือเป็นอนาคต
แต่อย่าลืมว่าที่พูดว่า ปัจจุบันในที่นี้ ก็หมายถึงปัจจุบันในภาษาธรรม ไม่ใช่ในภาษาคน