แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เราจะนิ่งดูดาย เพราะความคิดที่อยากจะหาย ๆ ตัวไป หลับแล้วไม่ตื่น หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันจนทำให้ตัวเราเหลือแต่ชื่อ คือปฐมบทหรือก้าวแรกที่อาจนำไปสู่การวางแผนปลิดชีพตัวเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ ได้ ความคิดนำร่องแบบนี้เองที่เรียกว่า “passive death wish” หรือ “passive suicidal ideation”
การครุ่นคิดเกี่ยวกับความตาย ความต้องการปิดฉากชีวิตตัวเอง โดยปราศจากการวางแผนหรือตระเตรียมสถานที่อุปกรณ์ใด ๆ ที่จะนำไปสู่การปลิดชีพตัวเองจริง ๆ แบบนี้เรียกว่า “passive suicidal ideation” ความคิดเช่นนี้มักปรากฏออกมาให้เห็นในยามที่ชีวิตเผชิญกับวิกฤติและจมดิ่งไปกับความทุกข์ ระดับความเข้มข้นของความคิดประเภทนี้มีลักษณะเป็นขั้ว 2 ขั้ว (spectrum) เริ่มตั้งแต่ความคิดที่แค่อยากจะหาย ๆ ตัวไป แต่ลึก ๆ แล้วยังอยากมีชีวิตอยู่ ไปจนถึงความคิดที่ว่าชีวิตนี้ไร้ซึ่งความหมายที่จะอยู่ต่อไปอีกแล้ว แต่จะต่างจาก “active suicidal ideation” ตรงที่ความคิดประเภทหลังนี้จะพ่วงมากับแผนการเป็นรูปธรรมที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง
ด้วยการที่ใครหลายคนคิดว่าความรู้สึกนึกคิดแบบ passive suicidal ก็เป็นเพียง “ความคิด” ที่ล่องมาแล้วก็ลอยไป ไม่เคยลากยาวไปถึงขั้นที่จะลงมือทำจริง ๆ จึงอาจทึกทักไปเองว่าจะสามารถจัดการกับความรู้สึกเช่นนี้ได้ด้วยตัวเองไปตลอดรอดฝั่ง
แต่เจ้าความคิดที่มีความเข้มข้นหลายระดับนี้แหละที่แฝงไปด้วยความเสี่ยงที่วันหนึ่งมันอาจล่องลอยมาแล้วไถลไปไกลสู่การตัดจบชีวิตตัวเอง หมายความว่าแม้ passive suicidal ideation ตามคำนิยามเป็นเพียง “ความคิด” ที่อยากจะล้มหายตายจากไป แต่ถ้าเราเพิกเฉยมัน ไม่เสาะหาความช่วยเหลือหรือเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี ความคิดลอย ๆ ที่ว่านี้อาจก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเหมือนกับ active suicidal ideation ได้ในที่สุด
หากจะยับยั้งพฤติกรรมเสี่ยงของตัวเอง เราจะต้องสามารถตรวจจับอารมณ์ ความรู้สึก ความนึกคิด พฤติกรรม สภาวะทางจิตใจและทางกายของเราที่อาจเป็นบ่อเกิดของความคิดแบบ passive suicidal ให้ได้ เพื่อให้เราสามารถตรวจจับสัญญาณบ่งชี้ต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบและไม่สับสน จึงขอแบ่งปัจจัยที่อาจนำไปสู่ความคิดแบบ passive siucidal ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ ปัจจัยด้านพฤติกรรม ปัจจัยทางกายภาพ และปัจจัยทางจิต
ปัจจัยด้านพฤติกรรม
• แจกจ่ายหรือสละทรัพย์สมบัติ ด้วยความรู้สึกหมดอาลัยตายอยาก
• มีบุคลิกหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิมมาก ๆ
• ชอบพูดเรื่องการจากไปของตัวเอง
• พูดถึงความตายประหนึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่ตัวเองอาจเลือกเดิน เช่น “เมื่อฉันจากไป...” “ถ้าฉันปลิดชีพตัวเอง...” เป็นต้น
• บอกลาหรือไล่กล่าวขอโทษต่าง ๆ นานา กับคนรอบข้าง
• ปลีกตัวออกจากสังคม
• กินและนอนผิดเวลาไปจากเดิม
• ดื่มแอลกอฮอล์หรือเสพสารเสพติดมากขึ้น
• เลิกทำกิจกรรมที่เคยทำให้ตัวเองมีความสุข
• สะสมของที่อาจเป็นภัยต่อชีวิต
• เริ่มทำกิจกรรมที่เป็นภัยต่อตัวเอง
ปัจจัยทางกายภาพ
• เป็นโรครุนแรงหรือเรื้อรัง
• มีความผิดปกติทางร่างกาย หรือพิการ
• บาดแผลจากความพยายามปลิดชีพตัวเองในอดีต ที่อาจชวนให้คิดถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วเกิดอยากจะลองทำดูอีกครั้ง
ปัจจัยทางจิต
• คิดหาหนทางขจัดทุกข์ทางอื่นไม่ได้นอกจากการปิดฉากชีวิตตัวเอง
• รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก สิ้นหวังกับตัวเองและอนาคต
• รู้สึกเครียดและเศร้าอยู่ตลอดเวลา
• โกรธและเกลียดตัวเอง
• วิตกกังวลหรือหวาดระแวงกับสิ่งรอบข้าง
• อารมณ์แปรปรวนง่าย
• รู้สึกถูกปฏิเสธและโดดเดี่ยว
ดูจากตัวอย่างสัญญาณบ่งชี้ข้างต้นก็จะพบว่ามีหลายอย่างที่เราสามารถประสบพบเจอได้ทั่วไป นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของการตรวจจับหรือตระหนักรู้ถึงอาการทั้งหลายเหล่านี้ให้ทัน ก่อนที่มันจะนำไปสู่ความคิดแบบ passive suicidal จนถลำลึกไปสู่ความคิดแบบ active suicidal
เมื่อเราสามารถตรวจจับสัญญาณบ่งชี้ต่าง ๆ ได้แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าความเสี่ยงที่มีอยู่จะหมดไป เพราะมันจะต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสม ความเสี่ยงต่าง ๆ ถึงจะลดลงได้ ซึ่งนั่นก็เป็นเป้าหมายของการตรวจจับสัญญาณบ่งชี้ต่าง ๆ ตั้งแต่ต้น
แน่นอนว่าเรื่องที่สุ่มเสี่ยงและละเอียดอ่อนถึงขั้นปลิดชีพตัวเองขนาดนี้จะต้องได้รับการปรึกษาหรือรักษาจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อให้มั่นใจว่าประสบการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่จะได้รับการใส่ใจอย่างแท้จริงและถูกวิธี ไม่ถูกลดค่าหรือตีตราว่าเป็นคนอ่อนแอจากคนอื่น
แนวทางที่ผู้เชี่ยวชาญเลือกใช้บำบัดจะแตกต่างกันไป ไล่ตั้งแต่การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต การรักษาด้วยยา และอื่น ๆ แตกต่างกันไปตามแต่ละเคส ดังนั้นมันจึงสำคัญมากที่เราควรจะปรึกษาผู้เชี่ยวชาญถึงแนวทางการจัดการกับความคิดที่อาจเป็นภัยต่อชีวิตตัวเองเช่นนี้ นอกจากนี้การเข้ารับการรักษากับผู้เชี่ยวชาญยังช่วยให้เรามีพื้นที่ปลอดภัย ที่เราสามารถระบายความทุกข์ที่สุมอยู่ในอกได้โดยไม่ต้องมากังวลว่าจะถูกตำหนิหรือไม่
อีกปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การรักษาบรรลุผลได้คือ “การเปิดใจ” หรือซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง ยอมรับว่าตัวเองมีความคิดที่จะจบชีวิตตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่ทำใจดีสู้เสือบอกตัวเอง (และคนอื่น) ว่าเรายังโอเค ไม่เคยคิดทำร้ายตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ในใจมีความคิดตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง การฝืนยิ้มทั้ง ๆ ที่ใจร่ำไห้อยู่แบบนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับการคิดบวกเป็นพิษ/การคิดบวกมากเกินไป หรือ “Toxic Positivity” ที่จะทำให้เราซุกปัญหาไว้ใต้รอยยิ้มเท่านั้น ไม่ได้แบปัญหาออกมาให้เห็นว่ามันมีอะไรบ้าง เพื่อที่จะหาหนทางแก้ไขกันต่อไป ความเสี่ยงของการซุกปัญหาประเภท passive suicidal ideation นี้คือการที่มันจะหมักหมมจนกลายเป็น active suicidal ideation ในที่สุด
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงใน Cambridge University Press รายงานว่า การถามใครสักคนว่าเขามีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองรึเปล่าไม่เท่ากับเป็นการยัดเยียดความคิดหรือยุยงให้คน ๆ นั้นกระทำการดังกล่าว กลับกันการถามสารทุกข์สุขดิบเช่นนี้มีโอกาสที่จะช่วยให้คน ๆ นั้นได้มีพื้นที่ระบายความทุกข์ออกมาเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการถามไถ่และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนอื่นได้ปลดปล่อยความในใจออกมาเพื่อคลายทุกข์ ก็ถือเป็นอีกหนทางที่จะช่วยให้เขาไม่ต้องครุ่นคิดอยู่กับการทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลาได้
คนที่มีความคิดปลิดชีพตัวเองมักมีภาพจำ (ที่ถูกผลิตซ้ำ) ว่าเป็นคนที่อ่อนแอ ดังนั้นในการที่เราจะสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้คนกลุ่มนี้ได้ พื้นที่ดังกล่าวจะต้องไม่ใช่สถานที่แห่งการตีตรา ซ้ำเติม หรือทำให้เขาต้องรู้สึกอับอายที่ตัวเองมีความคิดแบบ passive suicidal
เมื่อเรามีพื้นที่ปลอดภัยที่ต่างคนต่างพูดคุยความในใจกันได้ ก็นับเป็นโอกาสที่ดีที่จะแสดงความรัก กำลังใจ ความร่วมรู้สึก (empathy) ให้ผู้ที่กำลังคิดทำร้ายตัวเองรู้สึกว่าปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่นั้นมีความสำคัญ ช่วยให้เขารู้สึกว่าไม่ได้โดดเดี่ยว ที่สำคัญคือให้เขาได้ตระหนักรู้ว่ายังมีคนเห็นคุณค่า ห่วงใย และรักเขาอยู่
ในกรณีที่เราไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนักเพราะไม่มีประสบการณ์หรือทักษะมากพอ ก็ยังมีอีกสิ่งที่เราสามารถทำได้นั้นก็คือ แนะนำหรือสนับสนุนให้เขาได้เข้ารับการรักษากับผู้เชี่ยวชาญแบบเจอหน้ากัน หรือปรึกษาผ่านสายด่วนต่าง ๆ ในด้านนี้ แต่เราอาจจะพบว่าการเข้ารับการรักษานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีอุปสรรคด้วยกันอยู่หลากหลายมิติดังที่จะกล่าวถึงต่อไป
หนึ่งในสาเหตุหลักสำหรับคนที่มีความคิดแบบ passive suicidal แล้วปฏิเสธการรักษาคือ การด้อยค่าความเสี่ยงทางความคิดของตัวเอง บ้างก็บอกว่ามันเป็นแค่ความคิดเล่น ๆ ไม่ได้คิดจะทำร้ายตัวเองแต่อย่างใด ถ้ารับมือกับสภาวะนี้ได้จริงก็น่ายินดี แต่ถ้าเอาเข้าจริงกลับตกอยู่ในห้วงแห่งความคิดเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเองจะปกปิดความรู้สึกที่แท้จริงอยู่ ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ทำให้การเข้ารับการรักษายิ่งสำคัญมากขึ้นเพราะจะช่วยให้เราทราบถึงสภาวะทางจิตใจของเราได้ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นการปกปิดความจริงนี้ไม่ใช่ความผิดที่จะต้องได้รับการประณามหรือซ้ำเติมแต่อย่างใด เพราะหลายต่อหลายครั้งการปกปิดดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัญหาทางสังคม
การที่คน ๆ หนึ่งดูแคลนความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหรือปกปิดความรู้สึกของตัวเองไม่ให้ใครรู้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาพจำต่อคนที่คิดปลิดชีพตัวเองว่าเป็นคนอ่อนแอ ภาพจำนี้คือผลผลิตที่สังคมสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นทัศนคติพื้นฐานหรือเลนส์กล้องหลักที่ใช้มองคนกลุ่มนี้ ที่มาที่ไปของภาพจำดังกล่าวก็อาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละกรณี เช่น อาจมาจากหลักคำสอนทางศาสนาที่กล่าวโทษว่าคนที่คิดปลิดชีพตัวเองคือคนบาปหรืออะไรทำนองนี้ หรืออาจมาจากปัจจัยด้านวัฒนธรรมที่ผลิตซ้ำภาพจำอีกชุดเกี่ยวกับคนเข้มแข็งในอุดมคติ ในทำนองว่าคนที่เข้มแข็งจะต้องไม่หวั่นไหวต่อมรสุมใด ๆ ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิต ฯลฯ ซึ่งภาพจำแบบนี้มักจะถูกนำมาใช้เป็นแนวคิดคู่ตรงข้ามเพื่อเปรียบเทียบกับ “คนที่ถูกจัดว่าอ่อนแอ”
ภาพจำต่อคนเข้มแข็งในอุดมคตินี้มักถูกใช้เป็นบรรทัดฐานหรือความคาดหวังของสังคมที่มีต่อคนในสังคมนั้น ๆ และความคาดหวังนี้เองที่ไปกดดันให้คนที่มีความคิดแบบ passive suicidal เลือกที่จะตัดบทไม่วิเคราะห์เจาะลึกถึงความเสี่ยงที่ตนมี และเลือกที่จะปกปิดความรู้สึกของตัวเอง เพราะไม่อยากถูกตีตราว่าเป็น “คนอ่อนแอ” ในสายตาของคนในสังคมที่อวยยศแต่ “คนเข้มแข็ง” เมื่อมองในมุมนี้จะเห็นว่า “ภาพจำ” คืออีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญที่ฉุดรั้งไม่ให้คนตัดสินใจเข้ารับการรักษา และอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าการหมักหมมความรู้สึกนี้ไปเรื่อย ๆ เท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่มันจะพัฒนาไปสู่ความคิดแบบ active suicidal
อีกกรณีคือการที่คนทั่วไปมักจะให้ความสำคัญกับภัยทางกายภาพมากกว่าภัยทางความคิด กล่าวคือบางคนมักจะมองว่าแค่คิดเฉย ๆ ยังไม่ได้ทำร้ายตัวเองก็เท่ากับว่าความเสียหายยังไม่เกิดขึ้น จึงไม่ต้องเข้ารับการรักษาหรือไม่ต้องบอกให้ใครรับรู้เลยก็ได้ เปรียบเทียบง่าย ๆ คือถ้าได้รับบาดเจ็บทางกายคนมักวิ่งเข้าหาแพทย์มากกว่าตอนที่ได้รับบาดเจ็บทางใจ อีกอุปสรรคต่อการเข้ารับการรักษาคือปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่ไม่มีความพร้อมทั้งในแง่ของคุณภาพและปริมาณที่สามารถรองรับการให้บริการในส่วนนี้กับผู้คนในสังคมได้ รวมถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการประเภทนี้ด้วย
เราจะเห็นว่าความคิดแบบ passive suicidal เช่น อยากหลับแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย อยากให้ฟ้าผ่าตาย ฯลฯ ในเบื้องต้นอาจดูจะไม่ได้อันตรายต่อชีวิตแต่อย่างใด แต่อย่างที่เราทราบกันแล้วว่าถ้าความคิดนี้เข้มข้นมากขึ้นเพราะถูกหมักหมมมาจากเหตุผลนานับประการ เช่น กลัวถูกตีตราว่าเป็นคนอ่อนแอ ไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้ระบาย เข้าไม่ถึงสถานบำบัด เป็นต้น ความคิดประเภทนี้ก็จะมีความเสี่ยงไม่ต่างจากการเดินไปซื้อเชือกสักเส้นเพราะคิดว่าวันหนึ่งอยากจะแขวนคอตัวเอง
ดังนั้น คนในสังคมควรเปิดใจให้กว้าง ลบภาพจำที่ใช้ตีตราผู้อื่น สร้างพื้นที่ปลอดภัยที่เราสามารถแสดง empathy ต่อกันและกันได้ และถ้าเป็นไปได้ควรจะพัฒนาความรู้สึกแบบ empathy ไปสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว/ความเป็นปึกแผ่นทางสังคมหรือ solidarity เพื่อเป็นอีกพื้นที่ปลอดภัย
สำหรับคนที่กำลังเผชิญกับความทุกข์อยู่ แล้วไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่คิดจะทำร้ายตัวเองรึเปล่า สามารถทำแบบประเมินของกรมสุขภาพจิต ได้ที่นี่ >>คลิก<<
และสามารถขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานดังต่อไปนี้ได้เลย
• กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
• สมาคมสะมาริตันส์ ป้องกันการฆ่าตัวตาย
• Knowing Mind - ศูนย์บริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและส่งเสริมสุขภาวะ
• ศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ โทร 043-209-999 ต่อ 63308,63007
บทความที่เกี่ยวข้อง
• จะทำยังไงดี เมื่อคนใกล้ชิดป่วยซึมเศร้าและมีแนวโน้มฆ่าตัวตาย
• เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวง่าย จะรับมือกับอารมณ์ตัวเองยังไงดี
• Emotional Agility ทักษะการจัดการอารมณ์ให้สมดุลจากนักจิตวิทยา
• วิธีรับมือกับความเจ็บปวดและความเครียด เมื่ออารมณ์ดำดิ่งจนเกินรับไหว
• รู้จัก 'Impostor Syndrome' โรคคิดว่าตัวเองไม่เก่ง พร้อมเคล็ดลับเอาชนะมัน !
• ดูแลสุขภาพใจยังไง ให้ใจไม่ TOXIC ชีวิตแฮปปี้
• เป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักคนตรงหน้าให้มากขึ้นด้วยเทคนิค Deep Listening
• เมื่อสิ่งที่คิดไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ เราจะรับมือกับความผิดหวังยังไงดี
• รักตัวเองให้มากขึ้นด้วย 'Self-Care' เทรนด์ใหม่ของการดูแลตัวเอง
• วิธีลดความกดดันในตัวเอง เมื่อคนรอบข้างคาดหวังมากเกินไป
• ไม่ Productive สักวันก็ไม่เป็นไร ใช้ชีวิตยากไปเดี๋ยวเครียด !
• ฮีลตัวเองยังไงดีในวันที่เหนื่อยและท้อจนหมดพลัง
• Victim Blaming เตือนให้อยู่ในกรอบ หรือลดทอนความเป็นมนุษย์
• Teen’s Guide ทุกปัญหาของวัยรุ่นมีทางออกเสมอ
แหล่งข้อมูล
- I Had Passive Suicidal Ideation. Here’s What Everyone Should Know
- Does asking about suicide and related behaviours induce suicidal ideation? What is the evidence?
- The Difference Between Passive and Active Suicide Ideation
- How Do I Help Someone Who Is Experiencing Suicidal Thoughts?
- Passive suicidal ideation: Still a high-risk clinical scenario
- แบบประเมินความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย 8 คำถาม (8Q)
- 10 กันยายน ป้องกันการฆ่าตัวตายโลก กับ 10 เรื่องที่ควรรู้!