การพบกันเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความพลัดพราก เมื่อวันเวลาที่ต้องพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รักได้มาถึง เมื่อนั้นความเศร้าโศกเสียใจก็บังเกิดขึ้น นี้เป็นความจริงที่ขมขื่นและปวดร้าว ที่คนเราต้องประสบอย่างแน่นอน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ หากใจขาดสติ ขาดภูมิคุ้มกันทางใจที่เข้มแข็ง ก็อาจเสียสติ บ้า หรือหมองหม่น ซึมเศร้า ชีวิตไร้อนาคต หรืออาจถึงขั้นฆ่าตัวตายก็เป็นได้
สำหรับชาวพุทธแล้ว จะมีหนทางทางพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ใช้ปฏิบ้ัติฝึกฝน เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันความทุกข์ใจ ช่วยให้ใจเข้มแข็ง พร้อมกล้าที่จะเผชิญความทุกข์ ความพลัดพรากจากของรัก และ Move on เดินหน้าต่อไป อย่างมีจุดหมาย
เราจึงได้รวมพุทธวิธี อันเป็นดั่ง ธรรมโอสถ ยาคลายโศก เป็นวัคซีนต้านทุกข์ใจ ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันรักษาโรคทุกข์ใจ มาไว้ที่นีี่แล้วส่วนหนึ่ง
วันอัฏฐมีบูชา เป็นวันถวายพระเพลิงพระสรีระขององค์พระศาสดา ถือว่าเป็นวันบูชาพระสรีระของพุทธเจ้าหลังจากพระเพลิงไหม้แล้ว เกิดขึ้นหลังจากเสด็จพระปรินิพพานไปแล้ว 8 วัน
โดยทรงแสดงสัจธรรมสุดท้าย ว่า แม้แต่องค์ศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ ยังมิสามารถหลีกพ้นกฏไตรลักษณ์ อนิจจจัง ทุกขัง อนัตตา แล้วชาวพุทธธรรมดา ๆ อย่างพวกเรา จะหลีกพ้นได้อย่างไร
จึงทำให้พุทธศาสนิกชนได้ระลึกสังเวช และตั้งอยู่ในความไม่ ประมาท ด้วยเข้าใจถึงหลักของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อันจะก่อให้เกิดปัญญาเข้าใจหลักธรรมชาติ และนำสู่หลักการปล่อยวางจากความยึดมั่นถือมั่น
พระพุทธศาสนาเป็นพุทธวิธีที่เป็นยารักษาโรคทางใจได้ดีที่สุด เพราะสอนให้รู้จักทุกข์ ให้เรียนรู้ และเข้าใจในทุกข์ โดยหาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ และหนทางแห่งการดับทุกข์
ด้วยการกลับไปแก้ตรงเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์นั้น และทำใจยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้จักที่จะวางใจกับเรื่องที่ต้องประสบในแต่ละวันของชีวิต ด้วยการฝึกให้มีสติอยู่กับปัจจุบันเพื่อเสริมสร้างเป็นความคิดที่ดี คำพูดที่ถูกต้อง และการกระทำที่เหมาะสม
พุทธศาสนา มุ่งเน้นการมีสติรู้เท่าทันกับปัจจุบันมากขึ้น และเมื่อใจมีกำลังสติ จากสมาธิที่ฝึกฝน ทำให้บรรเทาความทุกข์ใจ ไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน บำบัดจิตใจของคนให้คลายจากทุกข์ เพราะเข้าใจในธรรมชาติของชีวิตที่เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของสรรพสิ่งทั้งหลาย
สมถกรรมฐาน
นักปฏิบัติ จะปฏิบัติทำสมาธิ ให้ใจมีความสงบไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยการปฏิบัติสมถกรรมฐาน มีสติปัฏฐาน 4 นั่งนอนยืนเดิน จะมีสติ มีคำบริกรรมกำกับเสมอ เช่น พุทโธ หรือ ยุบหนอ พองหนอ หรือ อื่น ๆ ตามแต่จริตที่ชอบใจ
ผลก็คือ การได้ฝึกจิตให้มีความสงบเพื่อเป็นการลดจากความคิดฟุ้งซ่านและลดอารมณ์ความเศร้าโศกเสียใจต่างๆ ที่ท าให้เกิดทุกข์
วิปัสสนากรรมฐาน
มองทุกสิ่ง ด้วยใจที่มีสติ สงบ จนก่อเกิดปัญญา เมื่อเกิดปัญญา ก็จะเริ่มมองเห็นความจริง ของธรรมชาติที่ทุกคนต้องประสพพบเจอตลอดเวลา ก็คือ
อนิจจัง - ไม่เที่ยง
ทุกขัง - เป็นทุกข์
อนัตตา - ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวเรา บังคับไม่ได้
ทำให้ได้ฝึกใจให้เกิดปัญญาเห็นความจริง และการคลายความยึดถือ มายอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันน ามาปรับใช้ให้เข้ากับการดำเนินชีวิตประจำวันได้ดังนั้น
ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงถามพระอานนท์ว่า พิจารณาความตายวันละกี่ครั้ง
พระอานนท์กล่าวว่า นับร้อยครั้ง
พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า น้อยไป ท่านระลึกถึงความตายทุกขณะจิต เพราไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าความตายจะมาถึงเราเมื่อไหร่
สิ่งที่พระพุทธเจ้า ให้หมั่นพิจารณาบ่อย ๆ ได้แก่
ธรรมโอสถ เป็นยาขนานเอก ที่สามารถระวับ คลายความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นพิษของความโศก โดยมุ่งเตือนสติให้ยอมรับความจริง ความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้ทุกคนพิจารณาเนืองๆ มี ๕ ประการ คือ ความแก่ ความเจ็บไข้ ความตาย การพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ และหลีกหนีจากกรรมไม่พ้น
อันเป็นความจริงเหล่านี้เกิดขึ้นกับทุกคน ไม่ใช่เกิดขึ้นกับเราเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะยอมรับได้หรือไม่ได้ก็ตาม
แต่ผู้ที่รับรู้และยอมรับความจริงเหล่านี้ ได้ดีขึ้น ความโศกจะลดลงมากขึ้น
ยิ่งพิจารณาความจริงเหล่านี้บ่อยเพียงไร จิตก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อความโศกมากขึ้นเพียงนั้น
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้ทุกคน ไม่ว่า บุรุษ สตรี ชาวบ้านหรือนักบวช ให้พิจารณาบ่อยๆ ผู้ที่ยอมรับความจริง เหล่านี้ จึงจะทุกข์โศกน้อยลง หรือไม่ทุกข์โศกเลย เมื่อเผชิญกับเรื่องที่น่าทุกข์โศก