-- "ให้พิจารณาความตาย" นั่งก็ตาย นอนก็ตาย ยืนก็ตาย เดินก็ตาย
คำอธิบายความ :
ทุกคนมีความตายเป็นที่สุด ตายทุกเพศทุกวัย ตายได้ทุกกาลเวลา เพราะฉะนั้น จึงไม่ควรประมาทในชีวิต ให้เว้นจากความชั่ว สร้างสมคุณงามความดี สร้างบุญ สร้างกุศล ไว้เป็นที่พึ่งของตน เมื่อล่วงลับจากโลกนี้ไปแล้ว และบำเพ็ญเพียรทำที่สุดแห่งการสิ้นทุกข์คือนิพพานให้เกิดขึ้น
--ให้พิจารณาเกิด – ดับ
คำอธิบายความ :
ขันธ์ ๕ – รูปขันธ์ และนามขันธ์ คือกาย และจิต ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีการเกิดดับ ๆ ๆ ตามเหตุปัจจัย ตามกฎไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นให้เป็นทุกข์
-- ให้ดูเจ้าของ
คำอธิบายความ :
ให้พิจารณาตน (ขันธ์ ๕ คือ กาย และจิต กายไม่เที่ยง อาการของจิต ก็ไม่เที่ยง ไม่คงที่ มีความผันแปร เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ด้วยอำนาจของราคะ โทสะ และโมหะ เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของของตน เป็นของว่างเปล่า
-- ให้วาง
คำอธิบายความ :
ให้ปล่อยวางการยึดมั่นถือมั่นในรูปขันธ์ และนามขันธ์ ทั้งภายใน และภายนอก ซึ่งเป็นกองทุกข์ให้หมดสิ้น ก็เข้าถึงนิพพานในที่สุด พ้นทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง
-- ให้เอาใจใส่
คำอธิบายความ :
เอาใจใส่ดูแล “จิตของเจ้าของ” ให้ตั้งมั่นอยู่ในกุศลกรรม เว้นจากอกุศลกรรม ทั้งกาย วาจา ใจ และมีพระนิพพานเป็นที่สุด
-- บ่ต้องดีใจ บ่ต้องเสียใจ ดีก็ช่าง ร้ายก็ช่าง
คำอธิบายความ :
ทำจิตใจให้เป็นกลาง วางเฉย ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าจะได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ มีสุข มีทุกข์ หรือมีสรรเสริญ นินทา ซึ่งเป็นธรรมดาโลก เป็นธรรมประจำโลก คือ โลกธรรม ๘
-- จิต ไม่เคยบอก " เท็จ "
"กรรมดี" หรือ "กรรมชั่ว "
ถ้าได้ทำลงไปแล้ว ถึงแม้คนอื่นจะไม่รู้เรื่อง
ที่เราทำ.....ตัวเรานั่นแหละ รู้ตัวเองดีที่สุด
ถึงจะโกหกคนทั้งโลกได้
แต่เราจะโกหกความจริงไม่ได้
ปากคนเรา "พูดจริง" ได้ "พูดเท็จ" ได้
แต่ " จิต "ไม่เคยพูดเท็จในเรื่อง "กรรม"
-- อวิชชามันพาให้เกิด
เมื่อถึงจะต้องตาย ก็ขอปลดอวิชชาไว้ข้างหลัง ให้เข้าป่าเข้าดงไป เราไม่ต้องการอีกต่อไป
ขอให้เชื่อจิตเชื่อธรรมนั้นเถิด เป็นเอกในโลกทั้งสามนี้แน่นอน
ถ้าปฎิบัติได้ ปฏิบัติจริง ปฎิบัติถูก ปฎิบัติตรง ปฎิบัติชอบ และพิจารณาได้ พิจารณาจริง พิจารณาถูก พิจารณาตรง พิจารณาชอบ
แน่นอนมรรคผลนั้นคงอยู่แค่เอื้อมนั่นเอง
-- ทุกข์ในภพชาติสำหรับเรา ต่อจากนี้ไปไม่มีอีกแล้ว มันจบแล้ว
การเดินทางในสายทุกข์ของเรามันสิ้นสุดแล้วในชาตินี้
ชีวิตธาตุขันธ์ที่เหลืออยู่ทุกวันนี้ ก็อยู่เพราะเมตตาสงเคราะห์สัตว์โลกผู้ที่มีวาสนาร่วมกันเท่านั้น
ธาตุขันธ์แตกดับวันไหน วันนั้นก็จบกันหมดทุกอย่าง
-- อยากพ้นทุกข์ก็ให้ทำเอา
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ประทานให้เราไม่ได้
ถ้าอยากได้ก็ให้ลงมือทำด้วยตนเอง
ความเกียจคร้านบ่เคยทำให้ใครเป็นอริยะ
มีแต่จะทำให้คนนั้นเป็นอะริแย่ คือแย่ลงไปเรื่อย ๆ หาความดีให้ตนเองไม่ได้
-- เทวดาเขาบ่ได้มักมนุษย์ ที่กาย
เทวดาเขามักมนุษย์ ที่ศีลธรรมของผู้นั่น ”ผู้มีศีลธรรมในใจ” เทวดาเขาสิเห็น
รัศมีในจิตของผู้นั่น จิตผู้มีธรรมนี่ ใจมันสิงามในใสกว่ากายนอก
เทวดาผู้เขามีใจทิพย์ใจธรรม เห็นมนุษย์ผู้นั่นแล้ว เขากะฮักกะหอมอยากเข้าใกล้
-- ให้เป็นคนมีวิหารธรรมในใจ เฮือนชานบ้านช่องในจิตในใจให้เป็นไปในพุทธ ธรรม สงฆ์ ใจดวงนี้เอาอันใดใส่เป็นอันนั่น เอาบุญใส่ ใจเป็นบุญ เอาบาปใส่ ใจเป็นบาป
-- ธรรมชาติกิเลสมันบ่เคยส่งเสริมผู้ใดไปในทางดี มันมีแต่สิพาเฮาคิดไปในเรื่องบ่ดี ไห่ใจเจ้าของเศร้าหมอง
อดีตผ่านไปแล้ว เอามาคิดใจเจ้าของกะเป็นทุกข์
เหตุปัจจุบันเป็นทุกข์ อนาคตมันกะผลเป็นทุกข์
ไห่ปฏิบัติดีเอาในปัจจุบันที่ตนเองมีอยู่
ปฏิบัติตนในศีลธรรมแล้วใจเจ้าของกะเป็นสุข
--------------------------------------
วัดสัมมานุสรณ์ ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย
หลวงปู่ชอบ ได้ชื่อว่า เป็นพระเถระที่สงบเสงี่ยม นิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน ได้รับการยกย่องว่า เป็นพระภิกษุผู้รู้เห็นเรื่องภพภูมิ เทวดา ของสังสารวัฏอย่างเอกอุ หลวงปู่ชอบเป็นธรรมทายาทพุทธะที่เด่นด้านญานวิเศษภาวะทิพย์ต่อจากหลวงปู่มั่นเลยทีเดียว หลวงปู่มั่นมักมอบหมายให้ท่านคอยดูแลตรวจตราการภาวนาของพระบ่อย ๆ