ทั้งน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาล้วนเป็นอาหารเสริมหมือนกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ที่มา สารอาหาร และคุณประโยชน์
สำหรับน้ำมันปลานั้นสกัดมาจากส่วนต่าง ๆ ของปลาที่มีไขมัน เช่น ปลาเฮอร์ริง ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน หรือปลาทะเลน้ำลึกอื่น ๆ ในขณะที่น้ำมันตับปลาสกัดมาจากตับของปลาค็อด ตามชื่อของมัน (Cod liver oil) เรียกได้ว่าน้ำมันตับปลาก็คือ น้ำมันปลาชนิดหนึ่งนั่นเอง
ในน้ำมันปลามีกรดไขมันจำเป็นอย่างโอเมก้า-3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตขึ้นมาเองได้ ต้องได้รับจากการรับประทานอาหารต่าง ๆ ส่วนใหญ่อยู่ในอาหารทะเล โดยที่ปลาทะเลหรืออาหารทะเลเหล่านั้นก็ได้โอเมก้า-3 มาจากการกินสาหร่ายขนาดเล็กซึ่งเป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 เข้าไปอีกที
โอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวและและมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกาย โดยช่วยเสริมสร้างระบบการทำงานของร่างกายและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ กรดไขมันโอเมก้า-3 มี 3 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่ 1) กรดอีโคซะเพนตะอีโนอิก (Eicosapentaenoic acid, EPA) 2) กรดโดโคซะเฮกซะอีโนอิก (Docosahexaenoic acid, DHA) และ 3) อัลฟาไลโนเลนิก (Alpha-linolenic acid, ALA)
ในน้ำมันปลามีกรดไขมันสองชนิดแรก คือ EPA และ DHA อยู่ถึง 30% แบ่งเป็น EPA 18% และ DHA 12% อีก 70% เป็นไขมันอื่น ๆ และมีวิตามิน A และ D อีกเล็กน้อย ขณะที่น้ำมันตับปลานั้นมี EPA และ DHA ในปริมาณที่น้อยกว่า แต่มีวิตามิน A และ D ที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น หากต้องการโอเมก้า-3 ในปริมาณสูง จึงควรเลือกรับประทานน้ำมันปลา แต่หากต้องการประโยชน์จากวิตามิน A และ D ก็ควรเลือกรับประทานน้ำมันตับปลาแทน ส่วนกรดไขมันชนิดที่ 3 คือ ALA พบได้ในพืชบางชนิด เช่น ถั่ว เมล็ดพืช
1. ลดการอักเสบเรื้อรังและความกังวลจากการอักเสบ
โอเมก้า-3 ในน้ำมันปลาและน้ำมันตับปลา ช่วยลดอาการอักเสบเรื้อรังได้ โดยการเข้าไปจัดการกับโปรตีนที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ขณะที่วิตามิน A และ D ในน้ำมันตับปลา ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยลดการอักเสบโดยการต้านสารอนุมูลอิสระที่เป็นอันตราย
ในงานวิจัยบางงานยังพบว่า อาการอักเสบส่งผลต่ออารมณ์ ทำให้เกิดความกังวลหรือซึมเศร้าได้ ซึ่งหากอาการอักเสบเรื้อรังลดลง ความกังวลและอาการซึมเศร้าก็มีแนวโน้มที่จะลดลงเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบความเชื่อมโยงระหว่างการเพิ่มขึ้นของปริมาณวิตามิน D ในกระแสเลือดกับการกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเโซโรโทนิน ซึ่งเป็นหนึ่งในสารแห่งความสุข ส่งผลต่อความกังวลและอาการซึมเศร้าอีกด้วย
2. เสริมสร้างมวลกระดูก
โดยทั่วไป มวลกระดูกของคนเราจะเริ่มลดลงไปตามวัยหลังอายุ 30 ปี ซึ่งนำไปสู่กระดูกเปราะหรือแตกหักได้ง่าย แต่วิตามิน D ในน้ำมันตับปลา จะช่วยลดอัตราการหายไปของมวลกระดูกที่มาจากช่วงวัย เพราะวิตามิน D ทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น และแคลเซียมทำให้กระดูกแข็งแรง กรณีนี้น้ำมันตับปลาจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ไกลเส้นศูนย์สูตรที่ได้รับแสงแดดปริมาณน้อย ร่างกายจึงนำมาสังเคราะห์เป็นวิตามิน D ได้น้อย
3. ลดอาการปวดตามข้อจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
ในงานวิจัยบางงานระบุว่าโอเมก้า-3 ช่วยลดอาการเจ็บปวดตามข้อ และลดอาการอักเสบหรือบวมได้ ดังนั้น มันจึงช่วยลดอาการปวดจากโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ได้
4. ช่วยให้มีสุขภาพตาที่ดีขึ้น
ผู้คนจำนวนมากประสบปัญหาเกี่ยวกับสายตาและการมองเห็น และ 2 เหตุผลใหญ่ ๆ ที่นำไปสู่ภาวะดังกล่าวคือ การเป็นต้อหิน และ จอประสาทตาเสื่อมตามวัย ซึ่งมาจากการอักเสบเรื้อรัง แต่การรับประทานน้ำมันตับปลาที่มีทั้งโอเมก้า-3 และวิตามิน A อยู่นั้นช่วยต้านการอักเสบและลดปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดต้อหิน เช่น ความดันในตาหรือเส้นประสาทตาถูกทำลายได้
5. ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
โอเมก้า-3 สามารถลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลงได้ถึง 15-30% ลดความดันเลือด เพิ่ม HDL ซึ่งเป็นไขมันดีในเลือด ป้องกันการเกิดคราบพลัก (Plaque) ซึ่งเป็นการสะสมของไขมันและแคลเซียมในหลอดเลือดแดง จึงลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ
น้ำมันปลาและน้ำมันตับปลาควรรับประทานพร้อมอาหาร หรือหลังอาหารทันที โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน เพราะระบบย่อยจะทำงานได้ดี และสามารถดูดซึมโอเมก้า 3 ได้ดียิ่งขึ้น
โดยปกติการรับประทานน้ำมันปลาหรือน้ำมันตับปลา ควรดูปริมาณที่แนะนำตามฉลากข้างบรรจุภัณฑ์ หรือปรึกษาแพทย์ แต่องค์การอนามัยโลกก็ได้ระบุปริมาณที่ควรรับประทานไว้เช่นกัน คือ EPA+DHA ในปริมาณ 0.2-0.5 กรัมต่อวัน (200-500 มิลิกรัมต่อวัน) สำหรับผู้ใหญ่สุขภาพดี แต่ไม่แนะนำในผู้หญิงตั้งครรภ์หรือมีภาวะเสี่ยงของโรคหัวใจ
การรับประทานน้ำมันปลาซึ่งมีโอเมก้า-3 สูงในปริมาณที่มากเกินไปมีผลต่อกลุ่มผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือเบาหวาน เนื่องจากโอเมก้า-3 ทำให้เลือดไม่แข็งตัว และกระตุ้นให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ส่วนผู้ที่มีสุขภาพปกติดี หากรับประทานมากเกินไปก็อาจจะทำให้รู้สึกเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูก หรืออาหารไม่ย่อยได้
ส่วนในน้ำมันตับปลาซึ่งมีวิตามิน A และ D สูง วิตามินทั้งสองตัวนี้เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน จึงสะสมอยู่ในร่างกายของเรา ต่างจากวิตามินกลุ่มละลายในน้ำที่ร่างกายสามารถขับออกได้ ดังนั้น การรับประทานน้ำมันปลามากเกินไปจึงอาจมีผลข้างเคียง เช่น คลื่นไส้ เวียนศีรษะ อาหารไม่ย่อย ผิวหนังเป็นผื่น นอนไม่หลับ และในระยะยาวมีผลต่อตับอาจจะทำให้ตับทำงานล้มเหลวได้