เช่น ถ้าเราตอกย้ำว่าเขาไม่เก่ง เขาโง่ เขาไม่น่ารัก สุดท้ายเด็ก ๆ ก็จะเชื่อว่าเขาเป็นแบบนั้น แล้วจะกลายเป็นคนแบบนั้นไปโดยปริยาย ในทางตรงกันข้าม หากคุณพ่อคุณแม่มอบความมั่นใจให้เขา บอกว่าเขาสามารถเติบโตเป็นคนที่เก่งได้ในแบบของตัวเอง เขาก็จะเป็นแบบนั้นได้เช่นกัน อย่างเช่น “วาชติ” เด็กหญิงในหนังสือนิทานเรื่อง “จุด” เรื่องนี้
“จุด” เป็นเรื่องของเด็กหญิงวาชติผู้เกลียดการวาดรูป ในชั่วโมงศิลปะเธอจึงนั่งเฉย ๆ ปล่อยให้หน้ากระดาษขาวโล่ง จนคุณครูเดินมาทัก และชี้ชวนให้เธอขีดเขียนอะไรก็ได้ลงไปสักหน่อย
วาชติหงุดหงิดมาก เธอเลยหยิบปากกา จิ้มจึ้ก ! ลงไปบนกระดาษ เป็นภาพจุดสีดำจุดเดียว
แต่วันต่อมาวาชติก็ต้องแปลกใจ ที่ภาพจุดของเธอถูกคุณครูนำไปใส่กรอบทองสวยหรู แขวนไว้เหนือโต๊ะของคุณครูราวกับเป็นศิลปะล้ำค่า
เหตุการณ์นั้นทำให้วาชติเริ่มมีความมั่นใจ และคิดว่า “เธอสามารถทำจุดที่เจ๋งกว่านี้ได้อีก”
จากนั้นวาชติก็เริ่มคิดสร้างสรรค์ภาพวาดจุดแบบต่าง ๆ ออกมามากมาย ค่อย ๆ พัฒนาฝีมือในการวาดจุดของเธอ จนในตอนสุดท้าย ภาพจุดที่เธอสร้างสรรค์ออกมาหลายรูปแบบ ก็ถูกนำไปจัดแสดงเป็นนิทรรศการภาพวาดที่มีแต่เสียงชื่นชม และน่าภาคภูมิใจ
นิทานเรื่องนี้ทำให้ผู้เขียนคิดถึงเหตุการณ์สองเหตุการณ์ในอดีต…
เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นตอนผู้เขียนอยู่ชั้นประถมต้น ผู้เขียนได้เรียนศิลปะกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่ไม่เคยบั่นทอนกำลังใจในการทำงานศิลปะของนักเรียนเลย
ไม่ว่าภาพนั้นจะออกมาเป็นแบบไหน อาจารย์ท่านนั้นจะคอยให้กำลังใจด้วยการชื่นชมในความพยายามของนักเรียน และถ้านักเรียนคนไหนวาดได้ดี อาจารย์มักให้คะแนนภาพวาดนั้นเกินคะแนนเต็มทุกครั้ง (ผู้เขียนจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยได้คะแนน 21 เต็ม 20 คะแนน) อาจารย์ท่านนั้นปลูกฝังความสุขในการวาดภาพ จนแม้กระทั่งผู้เขียนโตแล้ว ผู้เขียนก็ยังรู้สึกมีความสุขกับการวาดภาพ ขีด ๆ เขียน ๆ อยู่เสมอ
เหตุการณ์ที่สอง เกิดขึ้นตอนผู้เขียนอยู่ชั้นประถมปลาย ผู้เขียนได้รับคำสั่งจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งให้ประดิษฐ์ของสิ่งหนึ่งให้สวยงาม
จำได้ว่าตอนนั้นผู้เขียนทำด้วยความตั้งใจแบบสุด ๆ แต่แล้วผู้ใหญ่ท่านนั้นก็หยิบผลงานของผู้เขียนขึ้นมาเปรียบเทียบกับผลงานของเพื่อน แล้วบอกว่า ผลงานของผู้เขียนนั้นมันห่วยมาก แสดงถึงความไม่ตั้งใจของคนทำ
วันนั้นผู้เขียนแอบไปนั่งร้องไห้ และฝังใจว่า ผู้เขียนไม่สามารถทำงานศิลปะได้ดี…
พอผู้เขียนโตขึ้น ผู้เขียนจึงกลายเป็นคนที่สนุกกับการวาดภาพ แต่ในอีกด้าน ผู้เขียนจะรู้สึกเสมอว่างานของเรามันไม่ดีพอ ทำให้ผู้เขียนไม่กล้าสอบเข้าเรียนคณะที่ต้องใช้ฝีมือวาดรูป และหยุดพัฒนาการวาดภาพของตัวเองไป เพราะผู้เขียนเข้าใจไปแล้วว่า ตัวเองเป็นคนที่ทำงานศิลปะไม่เก่ง น่าจะไปได้ไม่ดีในด้านนี้
ในมุมมองของผู้ใหญ่ ผู้เขียนว่านิทานเรื่องนี้เหมือนช่วยเตือนสติคนอ่านว่า การกระทำของผู้ใหญ่ส่งผลต่อทัศนคติที่เด็กมีต่อตัวเองได้นะ
ดังนั้นในฐานะผู้ใหญ่ เราควรระวังคำพูดและการกระทำของตัวเองให้มาก ๆ อย่าเอาแต่ตำหนิเด็ก ๆ หรือพูดจาบั่นทอนว่าเขาไม่มีความสามารถ เพราะเด็กจะเชื่อว่าเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ และกว่าจะโตพอที่จะรู้ว่า เราไม่ควรเอาคำพูดขอคนอื่นมาตัดสินตัวเรา ก็อาจจะสายเกินไปแล้ว
สำหรับเด็ก ๆ และผู้ใหญ่ที่ไม่มั่นใจในตัวเองแบบผู้เขียน นิทานเรื่องนี้อาจกำลังสื่อสารบอกว่า เฮ้ย ! คนเก่งไม่ได้แปลว่าคุณจะต้องเก่งกาจมาตั้งแต่ต้น และไม่ได้แปลว่า คุณต้องมีความสามารถระดับเทพเท่านั้น คุณแค่ทำในสิ่งที่คุณทำได้ ฝึกฝนและพัฒนาตัวเองในสิ่งนั้นไปเรื่อย ๆ คุณก็จะประสบความสำเร็จได้
เราอาจไม่ต้องวาดรูปเก่งเหมือนศิลปินระดับชาติ แต่เราก็สร้างสรรค์งานดี ๆ ออกมาได้
เราอาจไม่ต้องทำอาหารเก่งระดับเชฟมิชลิน เราก็สามารถทำอาหารออกมาให้คนกินมีความสุขได้
เราไม่จำเป็นต้องเอาผลงานของเราไปเปรียบเทียบกับใคร เราไม่จำเป็นต้องเพอร์เฟ็กซ์จนไม่มีที่ติ เราก็มั่นหน้าและบอกกับใคร ๆ ว่า "เรามีความสามารถ" ได้เหมือนกันนะ
“เพราะมนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบ แต่มนุษย์พัฒนาได้”
ชื่อ จุด
เขียนและวาดภาพ : ปีเตอร์ เอช.เรย์โนลด์
แปลภาษาไทย : ตุ๊บปอง
สำนักพิมพ์ : Happy Kids
หาซื้อได้ที่ : ร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป