Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

อิทธิบาท 4 สูตรการมีอายุยืน ของพระพุทธเจ้า

Posted By มหัทธโน | 31 ส.ค. 63
1,233 Views

  Favorite

อิทธิบาทเป็นรากฐานหรือบาทฐานของอิทธิปาฏิหาริย์ นั่นคือการกระทำความสำเร็จอย่างอัศจรรย์ต้องอาศัยอิทธิบาท เหตุนี้อิทธิบาทธรรมสี่ประการคือฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จึงได้ชื่อว่าอิทธิบาท ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่าเท้าหรือรากฐานของการกระทำความสำเร็จที่อัศจรรย์ 

 

นพระไตรปิฎกกลับปรากฏคำตรัสถึงวิธีที่ทำให้มี อายุยืน 

ในมหาปรินิพพานสูตร

พระพุทธเจ้าตรัสต่อพระอานนท์ว่า “ดูก่อนอานนท์ ใครก็ตามที่เจริญอิทธิบาท 4 ทำให้มาก จนชำนาญว่าประหนึ่งเป็นยาน ว่าประหนึ่งเป็นวัตถุที่ตั้ง อย่างต่อเนื่อง  ผู้นั้นย่อมมีอายุยืนอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป

 

ดูก่อนอานนท์ ตถาคตแลได้เจริญอิทธิบาท 4 แล้ว ได้จนชำนาญ แล้วได้ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ได้ทำให้เป็นประหนึ่งว่าเป็นวัตถุที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้เนือง ๆ แล้ว อบรมแล้ว ปรารภด้วยดี โดยชอบแล้ว

 

ดูก่อนอานนท์ ตถาคตนั้น เมื่อปรารถนา ก็พึงดำรง (ชนม์ชีพ) อยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัปดังนี้”

คำอธิบายความ : 
คำตรัสนี้เกิดในเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จไปยังปาวาลเจดีย์ โดยทรงให้พระอานนท์ถืออาสนะ (ที่รองนั่ง) ไปด้วย

ครั้งนั้นพระองค์ตรัสต่อพระอานนท์เรื่อง ผู้ทรงอิทธิบาท 4 จะมีอายุยืนเป็น 100 ๆ ปี (กัป เท่ากับ 120 ปี) ทำไมอิทธิบาท 4 จึงส่งเสริมให้ผู้ที่มีหลักธรรมนี้มีอายุยืนยาวเป็น 100 ปี

 

คำว่ากัปในที่นี้ หมายถึง อายุกัป คือกำหนดอายุของมนุษย์ หมายถึงอายุ ๑๐๐ ปี พระพุทธเจ้าอยู่แค่ ๘๐ ปี แต่พระองค์ตรัสว่า ถ้าพระองค์ต้องการจะอยู่ถึง ๑๐๐ ปี ก็อยู่ได้ โดยเจริญอิทธิบาท

คนอื่นก็เหมือนกัน ถ้าต้องการให้อายุยืนถึงกัป ก็ให้เจริญอิทธิบาท ๔

อิทธิบาท ๔ เป็นตัวอายุ ซึ่งทำให้ชีวิตยืนอยู่ได้ เป็นพลังหล่อเลี้ยงชีวิต ให้ยืนยาว

 

เหตุใด พระพุทธเจ้าทรงเจริญ อิทธิบาท 4 แต่จึงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปเมื่อพระชนมายุได้ 80 ปี 

เมื่อมารมาทูลขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ด้วยว่าพระพุทธศาสนาตั้งมั่นดีแล้วและพุทธสาวกมีความฉลาดในธรรมแล้ว พระองค์ได้ทรงกล่าวแสดงข้อความข้างต้น (อิทธิบาท 4 อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว ...ฯลฯ... หรือเกินกว่ากัป) เช่นนี้เป็นนิมิตหลายครั้งต่อหน้าพระอานนท์

 

แต่พระอานนท์มิได้รู้เท่าทัน จึงไม่ได้วิงวอนขอพระตถาคต พระตถาคตจึงทรงปลงอายุสังขาร เมื่ออายุ 80 พรรษา

 

อิทธิบาท 4 คืออะไร

 

อิทธิบาท 4 หมายถึง ฐานหรือหนทางสู่ความสำเร็จ หรือ คุณเครื่องให้ถึงความสำเร็จ คุณเครื่องสำเร็จสมประสงค์ ทางแห่งความสำเร็จ คุณธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จแห่งผลที่มุ่งหมาย

ประกอบไปด้วย 4 ประการ คือ

ฉันทะ (ความพอใจ)

 คือ ความต้องการที่จะทำ ใฝ่ใจรักจะทำสิ่งนั้นอยู่เสมอ และปรารถนาจะทำให้ ได้ผลดียิ่งๆขึ้นไป

มีสิ่งดีงามที่ใจใฝ่รักต้องการจะทำ ถ้าใครอยากอายุยืน ต้องมีจิตใจผูกอยู่กับการกระทำอะไรสักอย่างที่ดีงาม ใจคอยบอกตัวเองอยู่ว่า ฉันต้องการทำสิ่งนี้ให้ได้ หรือมีสิ่งดีที่ต้องการจะทำ แล้วใจรักที่จะทำ ตั้งขึ้นมาก่อน อย่างนี้เรียกว่าฉันทะ แล้วทำสิ่งนั้นจนไม่มีช่องว่าง ไม่เปิดช่องให้แก่ความห่วง ความกังวล ความกลุ้มใจ อะไรเลย ถ้าทำได้อย่างนี้ยิ่งดี

คนที่เขายุ่งอยู่กับงาน และงานนั้นเขาพอใจรัก เขาเห็นว่าดีงามมีคุณค่า และทำจนกระทั่งไม่ห่วงกังวลอะไร ในใจไม่มีช่องให้แก่เรื่องยุ่งวุ่นวายรำคาญใจ มีฉันทะนี้เป็นตัวแรก จะเป็นเคล็ดลับที่ทำให้อายุยืน


วิริยะ (ความเพียร) 

คือ ขยันหมั่นประกอบสิ่งนั้นด้วยความพยายาม เข้มแข็ง อดทน เอาธุระไม่ท้อถอย

ความมีกำลังใจเข้มแข็ง แกล้วกล้า ใจสู้ กล้าเผชิญความยากลำบากและอุปสรรค เห็นว่าสิ่งนั้นๆ ท้าทาย พยายามจะทำ เพียรพยายามที่จะเอาชนะทำให้สำเร็จให้ได้ มีความกล้าหาญที่จะทำ


จิตตะ (ความคิด) 

คือ ตั้งจิตรับรู้ในสิ่งที่ทำ และทำสิ่งนั้นด้วยความคิด เอาจิตฝักใฝ่ ไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่านเลื่อนลอยไป

การอุทิศตัวอุทิศใจให้กับสิ่งนั้น ใจมุ่งจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น

เมื่อใจจดจ่อ มุ่งอยู่กับเรื่องที่ทำ ใจก็ไม่เก็บเรื่องจุกๆ จิกๆ ที่ขัดหูขัดตากระทบใจหรือผ่านเข้ามา เดี๋ยวเดียวก็ลืม เพราะใจอยู่กับเรื่องที่คิดจะทำนั้น ก็ไม่มีเรื่องรบกวนรำคาญใจ ทำให้สงบมั่น แม้แต่ถึงขั้นเป็นสมาธิก็ได้


วิมังสา (ความไตร่ตรอง หรือ ทดลอง) 

คือ หมั่นใช้ปัญญา พิจารณาใคร่ครวญ ตรวจหาเหตุผล และตรวจสอบข้อยิ่งหย่อนในสิ่งที่ทำนั้น มีการวางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง เป็นต้น  คอยใช้ความคิดพิจารณา เกี่ยวกับเรื่องนั้นอยู่ตลอดเวลา หมั่นทบทวนตรวจสอบและทดลองค้นคว้าหาวิธีการต่างๆ ให้รู้ว่า ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเป็นอย่างไร มีอะไรที่จะต้องปรับปรุงแก้ไข และจะปรับปรุงแก้ไขได้อย่างไร วุ่นอยู่กับเรื่องที่ทำนั้น และใจก็สนุกกับสิ่งที่ทำ มีความร่าเริงเบิกบานแจ่มใส ตกลงว่าเวลาผ่านไป ก็อยู่ได้เรื่อย

 

อานิสงค์ของการเจริญอิทธิบาท 4 ทำให้อายุยืน

“อิทธิบาท 4 อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว ทำให้เป็นดุจยานทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นแล้ว อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นเมื่อจำนงอยู่ พึงดำรงอยู่ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป”

พระพุทธเจ้าทรงแสดงนิมิตต่อหน้าพระอานนท์ เพื่อให้อาราธนาพระองค์ให้อยู่ต่อเกินอายุ 80 พรรษา 

เมื่อมารมาทูลขอให้พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ด้วยว่าพระพุทธศาสนาตั้งมั่นดีแล้วและพุทธสาวกมีความฉลาดในธรรมแล้ว พระองค์ได้ทรงกล่าวแสดงข้อความข้างต้น (อิทธิบาท 4 อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว ...ฯลฯ... หรือเกินกว่ากัป)เช่นนี้เป็นนิมิตหลายครั้งต่อหน้าพระอานนท์ แต่พระอานนท์มิได้รู้เท่าทัน จึงไม่ได้วิงวอนขอพระตถาคต พระตถาคตจึงทรงปลงอายุสังขาร
 

ในมหัปผลสูตร ว่าด้วยอานิสงส์ของการเจริญอิทธิบาท 4 แสดงไว้ว่า ผู้เจริญอิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) ย่อมมีผลมาก (ใช้ได้ทั้งในทางสมถะและวิปัสสนา ผลคือมีการได้ฤทธิ์และการบรรลุธรรม คือ มรรค ผล นิพพาน ด้วย) มีใจความว่า

“ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วย ฉันทสมาธิ และ ปธานสังขาร ดังนี้ว่า

ฉันทะของเราจักไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก และเธอมีความสำคัญในเบื้องหลังเบื้องหน้าอยู่ว่า เบื้องหน้าฉันใด เบื้องหลังก็ฉันนั้น เบื้องหลังฉันใด เบื้องหน้าก็ฉันนั้น เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนก็ฉันนั้น เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนก็ฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันก็ฉันนั้น เธอมีใจเปิดเผย ไม่มีอะไรหุ้มห่อ อบรมจิตให้สว่างอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อิทธิบาท 4 อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก”

 

อิทธิบาทประกอบด้วย ฉันทสมาธิ และ ปธานสังขาร

“ทำให้มาก” หมายถึงการเจริญอิทธิบาทสี่ โดยอาศัยสมาธิให้มากให้ต่อเนื่อง

    “ทำให้เป็นประหนึ่งยาน” คือการอาศัยอิทธิบาทในสมาธิเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อทำให้ความ “ปรารถนา” ปรากฏเป็นจริง

    “ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุ” คือการเจริญอิทธิบาทโดยกำลังสมาธิจนจิตมีความตั้งมั่นสูงสุด ไม่มีโทมนัส โสมนัส มีแต่ความเป็นอุเบกขาและสติมั่นคง

    “อบรมไว้” คือการเจริญอิทธิบาทโดยอาศัยกำลังสมาธิให้มีความก้าวหน้ามั่นคงเป็นลำดับไป

    “ปรารภด้วยดีโดยชอบ” คือการพิจารณาเห็นความจริงตามธรรมชาติว่าอายุ สังขารนั้นมีปกติยืนยาวได้ถึงกัปหรือกว่ากัป และอิทธิบาทธรรมคือยานหรือเครื่องมือในการทำให้อายุ สังขารเป็นธรรมชาติ คือยืนยาวถึงกัปหรือกว่ากัป แล้วมีความปรารถนาที่จะมีอายุถึงกัปหรือกว่ากัป

    “เมื่อปรารถนา” คือการตั้งอธิษฐานหรือกระทำอธิษฐานฤทธิ์ ปรารถนาให้อายุ สังขารยืนยาวตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป (คำว่าปรารถนาโดยทั่วไปอาจมีความหมายโน้มไปในลักษณะที่มีกิเลสเจือปน แต่ปรารถนาในที่นี้มีความหมายในลักษณะที่ใกล้เคียงกับคำที่ว่าเจตนา นั่นคือเมื่อปรารภด้วยดีโดยชอบแล้วจิตก็น้อมไปตั้งอธิษฐานโดยมีเจตนาให้อายุ สังขารเจริญตลอดกัปหรือกว่ากัป : นี่คือปัญหาของภาษาที่อาจทำให้ความเข้าใจไขว้เขวห่างไกลออกไปจากพุทธธรรม)

ในฉันทสูตร ว่าด้วยอิทธิบาท กับ ปธานสังขาร แสดงไว้ว่า

ถ้าภิกษุอาศัยฉันทะ*แล้ว ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต นี้เรียกว่า ฉันทะสมาธิ

 

เธอยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อไม่ให้บาปอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น เพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยู่ เพื่อความไม่เลือนหาย เพื่อเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อความไพบูลย์ เพื่อความเจริญบริบูรณ์แห่งกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เหล่านี้ เรียกว่า ปธานสังขาร

 

ฉันทะนี้ด้วย ฉันทสมาธินี้ด้วย และปธานสังขารเหล่านี้ด้วย ดังนี้เรียกว่า อิทธิบาทประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร

*เนื่องจากอิทธิบาท 4 มีองค์ประกอบ 4 คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และ วิมังสา ก็สามารถเจริญโดยใช้ตัวใดตัวหนึ่ง เช่นใช้ วิริยะ เป็นตัวนำ ก็จะเปลี่ยนเป็น “ถ้าภิกษุอาศัยวิริยะแล้ว ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต นี้เรียกว่า วิริยสมาธิ”

 

ผู้ที่ต้องการเจริญอิทธิบาท 4 จึงต้องตั้งอิทธิบาทใดอิทธิบาทหนึ่งขึ้นเป็นใหญ่ แล้วเจริญสมาธิ ประกอบด้วยความเพียรชอบ เพื่อให้ถึงซึ่งความสำเร็จในสมาธิกุศลนั้น เมื่อเจริญสมาธิอย่างมั่นคงย่อมเป็นบาทให้ทำอภิญญาคือฤทธิ์ต่างๆ ได้ และย่อมสามารถทำฌานให้เป็นบาทของวิปัสสนา หรือทำความสงบตั้งมั่นแล้วเจริญวิปัสสนา

 

อิทธิบาท 4 นั้น อรรถกถาท่านอธิบายให้เห็นความแตกต่างกัน เปรียบเหมือนลูกอำมาตย์ 4 คน ปรารถนาตำแหน่ง เข้าไปอาศัยพระราชา

คนที่ 1 อาศัย ฉันทะ คือ เกิดความพอใจในการรับใช้ รู้พระราชอัธยาศัย และความพอพระทัยของพระราชา จึงรับใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้พระราชาโปรดปราน จึงได้รับตำแหน่ง ผู้ที่ให้โลกุตรธรรมเกิดได้ด้วย ฉันทธุระ (ความพอใจ) ก็ฉันนั้น

 

คนที่ 2 อาศัย วิริยะ คือ เป็นคนที่ไม่สามารถรับใช้ทุกๆ วันได้ จึงคิดว่าเมื่อเกิดความจำเป็นขึ้น เราจะรับใช้ให้สุดความสามารถ เมื่อชายแดนกำเริบ ถูกพระราชาส่งไปแล้วก็ปราบข้าศึกจนสุดความสามารถ จึงได้รับตำแหน่ง ผู้ที่ให้โลกุตรธรรมเกิดได้ด้วย วิริยธุระ (ความเพียร) ก็ฉันนั้น

 

คนที่ 3 อาศัย จิตตะ คือ การรับใช้ทุกวันก็ดี การเอาอกรับหอกรับลูกศรก็ดี เป็นภาระโดยแท้ เราจะรับใช้ด้วยกำลังมนต์ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาฝึกหัดความรู้เกี่ยวกับเพลงอาวุธ ทำให้พระราชาโปรดปรานด้วยการจัดแจงมนต์ (ความรู้) จนได้รับตำแหน่ง พึงทราบผู้ที่ให้โลกุตรธรรมเกิดได้ด้วย จิตตธุระ (การเอาใจใส่) ก็ฉันนั้น

 

คนที่ 4 อาศัย วิมังสา คือ การรับใช้เป็นต้น จะมีประโยชน์อะไร ธรรมดาพวกพระราชาย่อมประทานตำแหน่งแก่ผู้สมบูรณ์ด้วยชาติ (ลูกผู้ดี) เมื่อประทานเช่นนั้น ก็จะประทานแก่เรา อาศัยความถึงพร้อมด้วยชาติเท่านั้น ก็ได้รับฐานันดร ดังนั้นผู้ที่อาศัยความพินิจพิจารณาไตร่ตรองหาเหตุผลล้วนๆ แล้วทำให้เกิดโลกุตรธรรม เรียกว่าได้ด้วย วีมังสาธุระ (ปัญญา)

 

ผู้ที่อยากมีอายุยืนอยู่ได้ตลอดอายุขัยของกัปของเรา ก็ควรพิจารณาคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ให้ลึกซึ้ง แล้วประกอบความเพียรเจริญสมาธิวิปัสสนา ด้วยอิทธิบาท 4 เป็นตัวนำ ความปรารถนาของผู้มีศีล สมาธิ ปัญญา บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมสำเร็จ...

 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • มหัทธโน
  • 4 Followers
  • Follow