โดยเริ่มจากพ่อแม่เองจะต้องแสดงให้ลูกเห็นถึง “สิทธิ์” ส่วนตัวที่ลูกพึงมีตั้งแต่วัยเด็กทารก เช่น การไม่ให้คนแปลกหน้าอุ้ม กอด หอม หรือมาสัมผัสตัวลูกของเราหากลูกของเราไม่ยินยอม เพราะเรามักจะเห็นอยู่บ่อยครั้งว่า พ่อแม่จะยินดีที่มีคนเข้ามาขออุ้ม ขอหอมลูกของตนเอง เพราะน่ารัก ถึงแม้ลูกจะร้องไห้ งอแง พ่อแม่ก็จะไม่สนใจ และคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งนี้กำลังสร้างความเครียด และทำให้ลูกรู้สึกถูกคุมคามอยู่ พ่อแม่ต้องทำความเข้าใจว่า “ความไว้ใจ” กว่าจะสร้างขึ้นได้ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในเด็กเล็ก “ความไว้ใจ” ที่ลูกจะมอบให้ใครคนใดคนหนึ่งนั้นต้องใช้ระยะเวลา การที่พ่อแม่เปิดโอกาสให้คนแปลกหน้าเข้ามากอด หอม หรืออุ้มลูกนั้น ย่อมสร้างความรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจให้กับลูก
ทางแก้ไขในกรณีนี้ ก็คือ หากมีคนแปลกหน้ามาชื่นชม หรืออยากเล่นกับลูกของเรา สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือ การให้เวลาลูกได้ทำความคุ้นเคยก่อน อาจเริ่มด้วยการพูดคุย หยอกล้อ แต่ที่สำคัญลูกยังคงต้องอยู่ในอ้อมกอดเรา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกว่าเรายังคงอยู่ตรงนี้ อย่าผลักไสลูกออกไปโดยที่จิตใจของลูกยังหวาดกลัวและไม่มั่นคง วิธีนี้นอกจากจะช่วยสร้างความมั่นคงทางจิตใจให้กับลูกแล้ว ยังเป็นการปูพื้นฐานในเรื่องของการปกป้องสิทธิ์ของตนเองอีกด้วย
ในวัยเด็กพ่อแม่หลายคนมักละเลย และไม่สนใจในเรื่อง “สิทธิ์” ของลูก พ่อแม่มักมองว่าการที่ลูกเข้ากับคนง่าย ไม่งอแงเวลาเจอคนแปลกหน้าเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความจริงแล้วการที่ลูกร้องไห้เมื่อเจอคนแปลกหน้า ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล แต่เป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ลูกแสดงออกเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สบายใจ หรืออยู่กับบุคคลที่ตนเองไม่รู้สึกไว้วางใจเท่านั้นเอง ซึ่งหากพ่อแม่ให้ความใส่ใจและให้เวลาลูกปรับตัว ค่อย ๆ สอน ค่อย ๆ ให้ความรู้ ก็จะทำให้ลูกรู้สึกมั่นคง ปลอดภัย และค่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดีขึ้น
สุภาพรรณ ศรีสุข (ครูแหม่ม)
ที่ปรึกษาวิชาการ โรงเรียนศิลปพัฒนาการสมองเด็ก K.D.S.