ในเรื่องนี้ ครูพิมเองก็มีประสบการณ์จากการฟังและให้การช่วยเหลือมาหลากหลายครอบครัว จึงอยากจะนำเอาวิธีการสื่อสารที่จะช่วยให้ทุกครอบครัวผ่านเรื่องราวนี้ไปได้ง่ายขึ้นมาฝากกันค่ะ โดยเฉพาะกับครอบครัวที่กำลังมีลูก ๆ หลาน ๆ อยู่ในช่วงวัยรุ่น และนี่คือ ข้อปฏิบัติ 3 ข้อ ที่ควรทำก่อนจะมีการแยกทางกันเกิดขึ้นค่ะ
การเตรียมตัวในที่นี้ หมายถึง การเปิดโอกาสให้ลูกได้รับรู้ถึงสิ่งที่จะเป็นไป ตามระยะเวลาอันเหมาะสม ไม่ควรทำให้เป็นความลับ หรือแจ้งข่าวแบบทันทีทันใด แต่ควรมีการวางแผนร่วมกันระหว่างพ่อแม่ ให้มีความสอดคล้องกัน ดังนั้น ทั้งพ่อและแม่ จึงควรพูดคุยและตกลงกันให้ชัดเจนก่อนในทุก ๆ เรื่องเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อไม่ให้การสื่อสารกับลูกเกิดความสับสนค่ะ
• แสดงออกให้ลูกรับรู้ถึงการเป็นที่รักของพ่อกับแม่เหมือนเดิม
• สื่อสารถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
หลาย ๆ ครั้ง เรามักเลือกที่ให้ลูกรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วยตัวเอง หรือรู้จากผู้อื่น หรือรู้จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำให้บางครั้ง ตัวเด็กเกิดคำถามหรือมีความค้างคาใจ โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น ที่เริ่มมีความคิดเป็นเหตุเป็นผลแล้ว การสื่อสารของพ่อแม่จึงควรมีความสอดคล้องกับสถานการณ์และช่วงวัยของลูกด้วย โดยคำแนะนำก็คือ การหาโอกาสร่วมกันทั้งพ่อและแม่ในการพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา และให้ลูกได้มีส่วนร่วมในการกำหนดอนาคตบางส่วนของตนเอง โดยมีข้อพึงระวังอย่างหนึ่งคือ อย่าพยามยัดเยียดทุกหัวข้อหรือทุกประเด็นปัญหาเข้าไปในการสื่อสารเพียงครั้งเดียว แต่ควรมีความค่อยเป็นค่อยไป สอดคล้องกับการเตรียมตัวล่วงหน้าตามข้อแรกค่ะ
สิ่งหนึ่งที่มักทำให้เด็กรู้สึกแย่และสับสนจากการหย่าร้างของพ่อแม่ ก็คือการที่พ่อแม่ใช้ลูกเป็นตัวแทนของตนหรืออีกฝ่าย ในการสื่อสารหรือในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งการกระทำเช่นนี้ มักจะทำให้เด็กเกิดความอึดอัดและรู้สึกสับสน นอกจากนี้ ยังควรระวังในการสื่อสารที่จะทำให้เด็กรู้สึกว่าเป็นชนวนที่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างพ่อแม่ด้วยนะคะ เพราะโดยทั่วไปแล้ว เด็ก ๆ และวัยรุ่น มีแนวโน้มที่จะโทษว่าตนเป็นสาเหตุของการแยกทางของพ่อแม่อยู่แล้ว เราจึงต้องระวังในจุดนี้ให้มากค่ะ
ครูพิม ณัฏฐณี สุขปรีดี
นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาศักยภาพเด็กเล็กและการเลี้ยงลูกเชิงบวก