โดยปกติแล้วเส้นผมของคนเราสามารถหลุดร่วงได้มากถึงวันละ 120 - 160 เส้น เพราะถือเป็นการเปลี่ยนสภาพตามวงจรการเจริญงอกงามของเส้นผมบนหนังศีรษะทั่วไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมร่วงมากจนผิดสังเกต นั่นก็แปลว่าต้องมีความผิดปกติเกิดขึ้น ผมร่วงมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม ความเครียด โรคภัยไข้เจ็บ การรับประทานยา รวมไปถึงการขาดวิตามิน ซึ่งในวันนี้เราจะมาเจาะที่เรื่องของวิตามินกัน วิตามินตัวนั้นก็คือ ไบโอติน หรือที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินผ่านหูกันมาบ้างแล้วว่าเป็นวิตามินแก้ผมร่วง แต่จะช่วยแก้ปัญหาผมร่วงได้จริงไหมนั้น ไปหาคำตอบกันเลย
วิตามินชนิดหนึ่งที่ละลายน้ำได้จัดอยู่ในตระกูลวิตามินบี หรือเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า วิตามิน H เป็นสารอาหารที่ช่วยบำรุงเส้นผม เล็บ และผิวหนัง มีส่วนสำคัญในการเสริมสร้างโครงสร้างของเคราตินซึ่งมีอยู่ในเส้นผม เล็บ รวมถึงผิวหนังเป็นหลัก นอกจากนี้ไบโอตินยังมีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาท ระบบเผาผลาญพลังงาน ไปจนถึงเซลล์ต่าง ๆ ภายในร่างกาย
ไบโอตินพบได้จากอาหารหลากหลายชนิด เช่น ตับวัว ไข่แดง นม ยีสต์ อัลมอนด์ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง หรือพืชตระกูลถั่วชนิดอื่น ๆ ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ธัญพืช บลอกโคลี ดอกกะหล่ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ ไบโอตินเป็นสารอาหารที่อาจเสื่อมคุณค่าลงหากได้รับความร้อน หากต้องการได้รับไบโอตินในปริมาณมาก ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีไบโอตินที่ผ่านความร้อนน้อยที่สุด และควรอ่านฉลากโภชนาการเพื่อช่วยในการเลือกสรรผลิตภัณฑ์อาหารที่มีไบโอตินสูง
ปริมาณการได้รับไบโอตินต่อวันที่เหมาะต่อความต้องการร่างกายในแต่ละช่วงอายุจะแตกต่างกันไป ดังนี้
เด็กเล็ก ควรได้รับไบโอติน 5-12 ไมโครกรัมต่อวัน
เด็กโต ควรได้รับไบโอติน 20-25 ไมโครกรัมต่อวัน
ผู้ใหญ่ ควรได้รับไบโอติน 30 ไมโครกรัมต่อวัน
ผู้หญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรได้รับไบโอติน 30-35 ไมโครกรัมต่อวัน
หากมีความจำเป็นต้องรับประทานอาหารเสริมไบโอติน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่กำลังใช้ยารักษาโรคชนิดใดก็ตาม
หากไม่ได้รับไบโอตินในปริมาณที่เพียงพออาจส่งผลกระทบดังต่อไปนี้
• ผมร่วง ผมหงอก เล็บเปราะแตกหักง่าย ผิวหนังเป็นสะเก็ด ผิวหนังเป็นผื่นคัน
• เบื่ออาหาร การเผาผลาญไขมันทำงานไม่สมบูรณ์
• อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรง ปวเเมื่อยกล้ามเนื้อ
• นอนไม่หลับ ซึมเศร้า