วิธีการศัลยกรรมหน้าอกในปัจจุบัน นิยมเสริมหน้าอกด้วยถุงเต้านมเทียม (Breast Implant Only) แบ่งได้เป็น 2 ชนิด
1.ถุงน้ำเกลือ (Saline breast implant)
ถุงซิลิโคนชนิดน้ำเกลือนี้สามารถบรรจุน้ำเกลือเพื่อเพิ่มขนาดถุงซิลิโคนให้ใหญ่ขึ้นตามความต้องการ ข้อดีของซิลิโคนชนิดนี้คือแพทย์ผู้ทำศัลยกรรมหน้าอก สามารถเปิดแผลเล็กใส่ถุงซิลิโคนผ่านบาดแผลขนาดเล็ก จากนั้นจึงเติมน้ำเกลือผ่าน Valve ที่เชื่อมกับถุงเต้านมเทียมได้โดยตรง และยังมีความปลอดภัยสูง หากถุงเต้านมเกิดฉีกขาด น้ำเกลือที่อยู่ในถุงก็สามารถถูกดูดซึมผ่านร่างกายได้ดี แต่มีอัตราการรั่วซึมสูงและสัมผัสที่ไม่เป็นธรรมชาติ ปัจจุบันในประเทศไทยไม่มีที่ผลิตแล้ว
2.ถุงซิลิโคนเจล (Silicon-filled implant)
ถุงซิลิโคนเจลที่ใส่ซิลิโคนเหลวบรรจุอยู่ภายใน ทำให้มีสัมผัสที่นุ่มนวลมากขึ้น ปัจจุบันการเสริมหน้าอกในประเทศไทยเกือบ100%เลือกใช้ถุงซิลิโคนชนิดนี้ แต่อาจจะเลือกใช้แต่ละแบรนด์แตกต่างกันตามแต่ประสบการณ์ของศัลยแพทย์
รูปทรงของซิลิโคนหน้าอก
1.ซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงกลม (Round Implant)
2.ซิลิโคนเสริมหน้าอกทรงหยดน้ำ (Tear Drop implant)
การเลือกทรงซิลิโคนมีความสำคัญอย่างมากเพราะถ้าต้องการเนินหน้าอกชัด หน้าอกใหญ่ Sexy ก็ควรเลือกซิลิโคนทรงกลมดีกว่าทรงหยดน้ำที่เนินหน้าอกน้อยกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องเลือกขนาดซิลิโคนไม่ใหญ่ไปกว่าฐานหน้าอกของเรา ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาหน้าอกสองลอนขึ้นได้ (Double bubble)
1.แบบผิวเรียบ (Smooth surface)
พื้นผิวของถุงซิลิโคนชนิดนี้เรียบใส สัมผัสไม่หยาบ ผิวเรียบมีให้เลือกเฉพาะซิลิโคนทรงกลมเท่านั้น
2.แบบผิวทราย (Textured surface)
พื้นผิวของถุงซิลิโคนครอบคลุมด้วยซิลิโคนชีทที่ไม่เรียบ สัมผัสหยาบเหมือนผิวทราย
*มีหลายงานวิจัยที่นำเสนอมาว่าไม่ว่าจะเป็นผิวเรียบหรือผิวทรายอัตราการเกิดพังผืดหดรัดก็ไม่ได้แตกต่างกัน*
ตำแหน่งของแผลผ่าตัดเสริมหน้าอกและตำแหน่งวางซิลิโคน
ตำแหน่งแผลผ่าตัดแบ่งออกเป็น 3 แบบ
1. เสริมหน้าอกผ่านทางรักแร้ (Armpit incision,Transaxillary incision) แผลทางรักแร้เป็นแผลยอดนิยมในอดีต เนื่องจากเชื่อว่าข้อดีของการผ่าตัดแผลทางนี้คือ มองไม่เห็นแผล แต่ปัจจุบันผู้หญิงใส่ชุดโชว์รักแร้มากขึ้น อาจจะซ่อนแผลไม่ได้เสมอไป ผ่าตัดศัลยกรรมหน้าอกทางรักแร้ส่วนใหญ่เป็นการผ่าตัดเหนือกล้ามเนื้อมากกว่าใต้กล้ามเนื้อ และเนื่องจากแผลผ่าตัดทางรักแร้จะทำให้เลาะชั้นกล้ามเนื้อได้ยาก ควรต้องใช้วิธีส่องกล้องร่วมด้วย วิธีนี้เกิดเลือดคั่งได้มากกว่าวิธีอื่น และเกิดปัญหาราวนมไม่เท่ากันได้บ่อย
2. เสริมหน้าอกผ่านทางรอบปานนม (Periareolar,Around nipple incision) แผลทางปานนมมีข้อดีคือแผลเล็ก ถ้ารักษาได้ดีอาจจะมองไม่เห็นแผลเลย แต่อาจจะใส่ซิลิโคนได้ขนาดเล็กตามไปด้วย บริเวณปานนมมักเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค แผลรอบปานนมจึงเสี่ยงติดเชื้อมากกว่าแผลอื่นๆ เสี่ยงบาดเจ็บต่อท่อน้ำนม และทำให้ความรู้สึกที่หัวนมชามากกว่าวิธีอื่น
3. เสริมหน้าอกผ่านทางใต้ราวนม (Inframammary incision) แผลใต้ราวนมเป็นแผลศัลยกรรมหน้าอกที่นิยมมากในปัจจุบัน สามารถเลาะชั้นกล้ามเนื้อได้ดี จัดวางตำแหน่งซิลิโคนได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ สามารถใส่ซิลิโคนขนาดใหญ่ๆได้ สามารถผ่าตัดพร้อมกับการผ่าตัดยกกระชับไปพร้อมกันในทีเดียว อาการเจ็บแผลหรือเจ็บเต้านมหลังผ่าตัดน้อยกว่าวิธีทางรักแร้ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องแผลเป็นเห็นชัด ดังนั้นต้องดูแลแผลอย่างถูกวิธีเพื่อลดแผลเป็นให้จางลงตามกาลเวลา
ปัจจุบันซิลิโคนศัลยกรรมหน้าอกทำจากวัสดุที่ดี มีความยืดหยุ่นมาก ทำให้แพทย์ศัลยกรรมเปิดแผลผ่าตัดได้เล็กมากกว่าในอดีต และสมัยนี้มียารักษาแผลเป็นที่มีคุณภาพ หากทายาร่วมกับติดแผ่นกันรอยแผลเป็นนูน (ซิลิโคนเจลชีท) เวลาผ่านไป 3-6 เดือนก็แทบจะไม่เห็นแผล หรือผ่าตัดแผลให้เล็กที่สุดใช้มีดกรีดครั้งเดียว ใส่ซิลิโคนผ่านแผลอย่างนุ่มนวลเพื่อให้เนื้อเยื่อบาดเจ็บน้อยที่สุด ใช้ไหมละลายเย็บแผลจึงไม่จำเป็นต้องตัดไหม อีกทั้งยังมีโปรแกรมดูแลแผลร่วมกับ Laser ลบรอยแผลเป็นให้ด้วย ดังนั้นการทำหน้าอกใต้ราวนมก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแผล
แต่ถ้าต้องการเสริมทางรักแร้ต้องดูดีๆว่า ทำหน้าอกโดยการส่องกล้องหรือไม่? ถ้าแพทย์ไม่ได้ใช้วีธีส่องกล้องในการผ่าตัดทางรักแร้ ให้สงสัยไว้ก่อนว่าแพทย์ท่านนั้น ทำหน้าอกให้เราแบบเหนือกล้ามเนื้อและเสี่ยงราวนมไม่เท่ากัน
ตำแหน่งการวางซิลิโคน
หลังจากเลือกตำแหน่งแผลสำหรับศัลยกรรมหน้าอกไปแล้ว การวางซิลิโคนในร่างกายก็สามารถวางตำแหน่งต่างกัน ปัจจุบันวางได้ 3 ตำแหน่ง
1.เสริมนมเหนือกล้ามเนื้อ (Subglandular)
การวางซิลิโคนแบบนี้เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกอยู่บ้างแล้ว ไม่เหมาะกับคนที่มีรูปร่างผอมมาก หรือมีเนื้อหน้าอกน้อย เพราะจะดูไม่เป็นธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไปจะยิ่งทำให้เห็นขอบถุงซิลิโคนชัดมากในผู้ที่มีผิวบาง และเกิดริ้วรอยรอบซิลิโคนได้ง่าย ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะได้รับความเจ็บปวดน้อยกว่า แต่ก็มีโอกาสทำให้เกิดพังผืดได้สูงกว่าในอนาคต และรูปทรงหน้าอกหลังเสริมด้วยซิลิโคนที่ขนาดใหญ่มากๆ ก็จะมีโอกาสคล้อยลงได้มากกว่าอีกด้วย
2.เสริมนมใต้กล้ามเนื้อ (Submuscular)
การวางซิลิโคนแบบนี้จะดูเป็นธรรมชาติที่สุด เหมาะกับผู้ที่มีเนื้อหน้าอกน้อย วิธีนี้จะไม่เห็นขอบของถุงซิลิโคน การสัมผัสจะช่วยให้ได้รับความรู้สึกว่าเหมือนหน้าอกจริงมากกว่า เพราะถุงซิลิโคนจะซ่อนอยู่ใต้กล้ามเนื้อ แต่หากเกร็งกล้ามเนื้อหน้าอกอาจจะเห็นซิลิโคนเคลื่อนที่ได้ และเจ็บมากกว่า (ในระยะแรก)
3.เสริมนมใต้กล้ามเนื้อหน้าอกบางส่วนและใต้เนื้อเต้านมบางส่วน (Dual plane)
เป็นการผ่าตัดแบบผสมผสาน 2 วิธี คือซิลิโคนจะอยู่ใต้กล้ามเนื้อบางส่วน และอยู่นอกกล้ามเนื้อ หรือใต้ต่อมชั้นไขมันนมบางส่วน วิธีนี้จะสามารถลดการขยับของซิลิโคนตามการหดเกร็งของกล้ามเนื้อได้ดีกว่าการเสริมนมแบบใต้กล้ามเนื้อปกติ หน้าอกจะมีทรงสวยดูเป็นธรรมชาติมากกว่าเสริมชนิดเหนือกล้ามเนื้อ
ในระยะยาววิธีเสริมหน้าอกเหนือกล้ามเนื้อบางส่วนและใต้กล้ามเนื้อบางส่วน (Dual plane) ให้ผลดีกว่า เป็นบล็อกน้อยกว่า เป็นริ้วน้อยกว่า และไม่ทำให้หน้าอกคล้อยมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป แต่การผ่าตัดวิธีนี้ทำยากกว่าวิธีเหนือกล้ามเนื้อมาก ต้องอาศัยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพราะต้องออกแบบจัดเรียงชั้นกล้ามเนื้อ เพื่อวางซิลิโคนในตำแหน่งที่เหมาะสม
เลือกซิลิโคนแบบไหน, แผลผ่าตัด หรือวิธีผ่าตัดเสริมนมอย่างไร? จึงจะเหมาะกับเรา
ต้องดูตามความต้องการของเราก่อนว่าต้องการหน้าอกแบบไหน ขนาดใหญ่ดึงดูดใจ แบบพอดีตัวเสริมบุคลิก ใส่เสื้อผ้าสวย ไม่ต้องการเนินหน้าอกสูง อยากให้อกชิด ไม่ต้องการหน้าอกเป็นบล็อก ฯลฯ จากนั้นศึกษาหาข้อมูลด้วยตัวเองก่อน ถึงข้อดีข้อเสียของซิลิโคนรูปทรงต่างๆ ทั้งทรงกลมทรงหยดน้ำ ตำแหน่งผ่าตัด ถ้าไม่อยากให้เห็นแผลก็อาจเลือกผ่าตัดเสริมนมทางรักแร้ เป็นต้น การวางซิลิโคนหน้าอกที่แตกต่างกัน ถ้ามีเนื้อนมเยอะก็อาจจะเลือกเสริมเหนือกล้ามเนื้อ อยากได้ทรงธรรมชาติไม่อยากให้นมเป็นบล็อกเป็นริ้ว ก็อาจเลือกเสริมโดย Dual Plane สุดท้ายต้องได้ปรึกษากับศัลยแพทย์ที่เราสนใจ แพทย์ผู้ซึ่งจะเป็นคนผ่าตัดให้เรา ได้สอบถามโดยตรง ฟังความคิดเห็นคำแนะนำต่างๆว่าเสริมนมแบบไหนเหมาะกับเรา เมื่อเราตัดสินใจแล้ว เราก็ต้องเชื่อฟัง ปฏิบัติตัว ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เพื่อให้แผลหายเร็ว หน้าอกทรงสวยถูกใจ
ศัลยกรรมหน้าอก ไม่ใช่การทำศัลยกรรมเล็กๆเหมือนเสริมจมูก ทำตาสองชั้น เสริมคาง ตัดปากกระจับ ฯลฯ ศัลยกรรมหน้าอกเป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องมีการเตรียมตัวจริงจัง แนะนำให้ศึกษาหาข้อมูลให้มาก ศึกษาคลินิกหรือสถานพยาบาลที่เราสนใจให้ดี ว่ามีวิธีผ่าตัดอย่างไร มีการเตรียมตัวให้เราดีไหม มีเจาะเลือดก่อนผ่าตัด? มีวิสัญญีแพทย์ดูแลเราตลอดเวลาการผ่าตัดหรือไม่? ที่สำคัญแพทย์ผู้ผ่าตัดเป็นแพทย์ศัลยกรรมเฉพาะทางมีประสบการณ์มากพอหรือไม่ อย่าหลงเชื่อ ตัดสินใจเพียงแค่รีวิวเยอะหรือราคาถูก และคลินิกศัลยกรรม ต้องได้มาตรฐาน สะอาด มีการดูแลติดตามหลังผ่าตัด