ซึ่งการบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไป จะส่งผลกระทบต่อภาวะการทำงานของสมองลูก เพราะกระบวนการสร้างกลูโคส จะสั่งการให้สมองสร้างระดับอินซูลินที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้ร่างกายปรับระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างสมดุลและดีต่อร่างกาย แต่หากร่างกายมีระดับน้ำตาลที่สูงหรือมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง ทำให้สมองทำงานได้ช้าลง
โดยทั่วไป ผู้ใหญ่และเด็กไม่ควรบริโภคน้ำตาลเกิน 6 ช้อนชา/วัน มีงานวิจัยกล่าวไว้ว่า หากบริโภคน้ำตาลหรือไขมันมากเกินไปเป็นระยะเวลานาน จะส่งผลเสียต่อการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และความจำได้ เพราะการทำงานของสารสื่อประสาทจะเชื่อมโยงไม่เป็นระบบ ความคิดช้าลง ทำให้เกิดภาวะหลงลืมได้ง่าย แต่ในทางกลับกัน การที่ลูกได้รับปริมาณอาหารที่เพียงพอ และได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพ เช่น อาหารที่มีไขมันโอเมก้า 3 ที่ได้จากปลานั้น ก็สามารถช่วยลดความเสียหายของสมองได้เช่นกัน
พ่อแม่จำนวนมากที่มักมองข้าม และละเลยการควบคุมปริมาณของหวานและขนมให้ลูก ส่งผลให้ในปัจจุบันมีเด็กจำนวนมากที่มีน้ำหนักตัวมากเกินไป จนกลายเป็นโรคอ้วน นอกจากนั้นเด็กที่ชอบกินหวานจัดบ่อย ๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไป ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลง ผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้ การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อย ๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
อีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไป ทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง ผลที่ตามมา ก็คือ ทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเกิดขึ้นในเด็ก ก็จะทำให้เรียนรู้ได้ไม่ดี ไม่สามารถจดจำข้อมูลต่าง ๆ ได้
ซึ่งหากสมองของลูกทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลเสียต่อกระบวนการเรียนรู้ทั้งระบบ เพราะวัยเด็ก คือ วัยแห่งการเรียนรู้ หากระบบต่าง ๆ ไม่สามารถทำงานได้ประสานกันแล้ว อาจส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของลูกด้วย ลูกอาจกลายเป็นเด็กขี้หงุดหงิด เก็บตัว ซึมเศร้า เนื่องจากสภาวะต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่สามารถทำงานตอบสนองกับความต้องการตามช่วงวัยได้นั่นเอง