การที่ลูกเรายิ้ม หัวเราะ นั้นเป็นการแสดงออกที่บ่งบอกถึงความสุขจริงไหม วันนี้แม่แหม่มจะมาชวนพ่อแม่ทุกท่านสังเกตพฤติกรรมการแสดงออกของลูกกันค่ะ ว่าภายใต้พฤติกรรมที่แสดงออกมานั้น แท้จริงแล้วลูก ๆ ของเรามีอะไรภายในใจซ่อนอยู่หรือเปล่า
เพราะในวัยเด็กการแสดงออกทางพฤติกรรม ถือเป็นการตอบสนองอัตโนมัติจากสมองและจิตใต้สำนึกที่ปราศจากการปรุงแต่ง ดังนั้นหากพฤติกรรมลูกเปลี่ยนไป เช่น นั่งเขย่าขา หรือนั่งกัดเล็บ นั่นแสดงว่าในสมองหรือจิตใต้สำนึกของลูกนั้นเริ่มมีความผิดปกติแล้ว จึงส่งผลโดยตรงมายังการแสดงออกทางพฤติกรรม
เมื่อพ่อแม่ได้รับสัญญาณนี้แล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือ การเพิ่มเวลาเอาใจใส่ พูดคุยกับลูกให้มากขึ้น ก่อนที่การแสดงออกนั้นจะเริ่มรุนแรงมากขึ้น หรืออาจกลายเป็นความเคยชิน ซึ่งส่งผลต่อบุคคลิกและการเข้าสังคม
ก่อนอื่นพ่อแม่ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ในวัยเด็กการแสดงออกทางอารมณ์ของลูกมักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งมีเหตุผล บางครั้งไม่มีเหตุผล เพราะในความจริงแล้ว ในวัยเด็ก การแสดงออกทางอารมณ์ของลูกจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยขาดการควบคุมและไตร่ตรองความเหมาะสม
แต่สิ่งที่พ่อแม่จะต้องสังเกตก็คือ ในการแสดงออกทางอารมณ์ของลูกนั้นมีความผิดปกติซ่อนอยู่หรือไม่ เช่น ลูกไม่ดีใจ ในสิ่งที่เขาเคยรู้สึกดี หรือลูกซึมเศร้า จนผิดปกติจากที่เคยเป็น สิ่งเหล่านี้ คือ การแสดงออกทางอารมณ์ ที่ถึงแม้ลูกจะไม่พูด แต่พ่อแม่ควรสังเกตได้ว่าตอนนี้ลูกของเรากำลังมีความเศร้าในใจแอบซ่อนอยู่หรือเปล่า
เพราะวัยเด็ก คือวัยแห่งการเรียนรู้ และการเข้าสังคม เด็กส่วนมากจะชอบเล่นกับเพื่อนมากกว่าการเล่นคนเดียว พ่อแม่อาจช่วยส่งเสริมทักษะนี้ได้ด้วยการพาลูกไปเข้าสังคม เข้าโรงเรียน หรือหากิจกรรมที่ลูกได้ทำได้เล่นร่วมกับเพื่อน ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมทักษะในการเข้าสังคมให้กับลูก
หากลูกกลัว หรือรู้สึกไม่มีความสุขที่ต้องอยู่ร่วมกับเพื่อน หรือร้องไห้ทุกครั้งที่ต้องไปในสถานที่ใหม่ ๆ พ่อแม่อาจต้องช่วยลูกด้วยการสร้างความเข้าใจ และอยู่เป็นเพื่อนกับลูก เพื่อให้รู้สึกคุ้นเคยก่อน แต่หากอยู่ดี ๆ ลูกรู้สึกไม่มีความสุข หรือกลัวในสถานที่ที่เคยไป แสดงว่าลูกจะต้องเกิดประสบการณ์หรือความทรงจำที่ไม่ดีต่อสิ่งนั้น ๆ พ่อแม่ก็จะต้องพูดคุย เพื่อช่วยบรรเทาความกังวลของลูกให้หมดไป
อีกหนึ่งการแสดงออกที่มักพบเจอเมื่อเด็กขาดความสุข ก็คือ เขาจะเซื่องซึม เฉื่อยชา ไม่เปิดรับสิ่งใหม่ ๆ และปิดกั้นตัวเอง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ก็จะส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ เด็กที่มีความเครียดมักมีผลการเรียนที่ไม่ดีตามมาด้วย เนื่องจากกระบวนการทำงานของสมองไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ดังนั้นหากพ่อแม่สังเกตเห็นผลการเรียนที่เปลี่ยนไป หรือลูกมีพฤติกรรมการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไป ควรให้ความใส่ใจดูแล มากกว่าการดุด่าหรือต่อว่า เพราะจะยิ่งทำให้ลูกเกิดความทุกข์ และไม่สบายใจมากขึ้น