ในช่วงระหว่างเหตุการณ์จนไปถึงหลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมจบสิ้นลง มีการแสดงความคิดเห็นมากมายในโลกโซเชียล ซึ่งหลาย ๆ ความคิดเห็นต่างมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ รู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ก็มีอีกจำนวนหนึ่งที่มองการกระทำนี้เป็นเรื่องที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง และมีการแสดงออกว่าอยากว่าจะกระทำเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ว่าการแสดงความคิดเห็นนี้จะเป็นเรื่องที่คิดจริง ๆ หรือแค่นึกสนุก แต่ก็การแสดงให้เห็นถึงความน่าเป็นห่วงในโลกของสื่อ โดยเฉพาะในสื่อสังคมออนไลน์ที่มีความเสรีจนเกินขอบเขต
ปัจจุบันตัวตนในโลกโซเชียลนั้น มีความสำคัญเท่าเทียบตัวตนจริง ๆ ของเรา ซึ่งการรักษาตัวตนในโลกโซเชียล โดยการแสดงความคิดเห็นอย่างเหมาะสมนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่นักเรียนในยุคพลเมืองดิจิทัล (Digital native) ควรจะมีและพึงปฏิบัติเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อตัวเอง การแสดงความคิดเห็นที่ขัดต่อศีลธรรมอันดี ขัดต่อความมั่นคงของชาติ รวมถึงการแสดงความเกลียดชังอย่างมุ่งร้ายในเรื่องต่าง ๆ คือการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ผ่านการกลั่นกรองอย่างเหมาะสม ซึ่งตลอดมานั้นการกระทำเช่นนี้ยังไม่มีกฎหมายใดมารองรับ จึงมีการนำเสนอหรือแสดงความคิดเห็นในลักษณะนี้เกิดขึ้นอย่างมากมาย แต่ในปัจจุบัน การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พุทธศักราช 2560 ซึ่งได้มีระบุความผิดไว้ในมาตราที่ 14 หัวข้อที่ 2 ซึ่งระบุว่า ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ (2) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือโครงสร้างพื้นฐานอันเป็นประโยชน์สาธารณะของประเทศ หรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน ซึ่งจากบทบัญญัตินี้ ทำให้เกิดการกวดขัน เฝ้าระวังและดูแลความเรียบร้อยในโลกโซเชียลมากขึ้น
อย่างไรก็ดี เมื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นสถานะอีกส่วนหนึ่งของเรา เราก็มักเลือกที่จะแสดงออกในโลกออนไลน์หลากหลายรูปแบบ ทั้งเสริมเติมแต่งจากตัวตนที่เป็นอยู่ หรืออาจแสดงออกไปคนละขั้วกับชีวิตจริงเลย ซึ่งขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายที่ผู้ใช้อยากสื่อ และอีกส่วนหนึ่งคือความนิยมจากผู้ที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ติดตาม และกดถูกใจ ซึ่งการตอบสนองดังกล่าวนี้ ช่วยกระตุ้นให้ผู้ใช้แสดงตัวตนในโลกโซเชียลมากขึ้น ทั้งในด้านที่ดีและไม่ดี
สิ่งเหล่านี้ แสดงให้เห็นพื้นฐานของมนุษย์ที่ต้องการการยอมรับและเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งถ้ามองโลกโซเชียลเป็นสังคม ๆ หนึ่งการยอมรับในโลกโซเชียลนั้นก็คือการได้รับการแสดงความคิดเห็นตอบสนอง การกดถูกใจหรือมีการแชร์ข้อมูลนั่นเอง จึงไม่แปลกอะไรถ้ามีคนกลุ่มหนึ่งที่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อแสดงตัวตนในด้านตรงกันข้ามกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ซึ่งความแปลกแยกนี้ทำให้เขารู้สึกเด่น มีตัวตน และแม้ว่าการแสดงตัวตนนั้นจะได้รับเสียงตอบรับทางลบมากกว่าทางบวก แต่อย่างไรเสีย กลุ่มคนเหล่านี้ก็ยังรู้สึกดีใจว่าตัวเองนั้นมีตัวตนอยู่ในโลกออนไลน์
เรื่องนี้ อาจไม่ได้หมายความถึงแค่การกระทำรุนแรงต่อคนอื่นเพียงอย่างเดียว การกระทำรุนแรงต่อตัวเองก็ถือเป็นสิ่งที่พบเจอได้ในโลกออนไลน์อยู่เสมอ เช่น การไลฟ์สดฆ่าตัวตาย หรือการทำร้ายตัวเอง สิ่งเหล่านี้เป็นความรุนแรงที่มีแนวโน้มจะเกิดการเลียนแบบขึ้นได้ ถ้าผู้เสพสื่อมีสภาวะจิตใจที่ไม่ปกติ เช่น เป็นโรคซึมเศร้า หรือ มีภาวะถูกกดดันจากสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ การยุยงปลุกปั่นด้วยถ้อยคำรุนแรงผ่านการแสดงความคิดเห็นต่อการกระทำหรือสิ่งที่เขากำลังกระทำนั้น ก็เป็นเสมือนเชื้อไฟที่คอยสุมให้ผู้กระทำมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ การที่สื่อต่าง ๆ พยายามแสดงให้เห็นถึงความสามารถของคนร้าย เปิดเผยหน้า เปิดเผยชื่อ ค้นหาภูมิหลัง ตลอดจน ขุดคุ้ยเรื่องของคนร้ายนั้น เป็นการกระทำที่สร้างให้คนร้ายมีตัวตนอยู่ แม้ว่าความจริงได้หายไปแล้ว ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการยกยอปอปั้นเสมือนเป็นบุคคลสำคัญของชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กและเยาวชนที่ไม่มีภูมิคุ้มกันในการรับสื่อออนไลน์ที่ดีพอ มองการกระทำเหล่านั้นว่าเป็นการกระทำโดยชอบธรรมของคนร้ายที่กระทำไปเพราะความโกรธแค้น และมองว่าคนร้ายนั้นเป็นแบบอย่างของคนที่สู้หัวชนฝา ทั้ง ๆ ที่ความจริง การกระทำของคนร้ายนั้นเป็นการกระทำที่อันตรายและรุนแรงเกินกว่าเหตุ นอกจากนี้มีหลายความคิดเห็นที่แสดงออกประมาณว่า ทำไมไม่ก่อเหตุที่นั่นที่นี่ หรือไปจัดการคนนั้นคนนี้ ซึ่งความคิดเห็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงไม่ต่างกับการเลียนแบบ เพราะเป็นความเห็นที่ไม่ได้แสดงออกว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความผิด เพียงแต่คิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรเกิดกับคนอื่นหรือสถานที่อื่นมากกว่า ซึ่งความคิดนี้แฝงไว้ด้วยความรุนแรงอย่างร้ายกาจและเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน
เด็กและเยาวชนนั้น บ่อยครั้งมักมีความคิดที่ขัดแย้งต่อกฎระเบียบของสังคมอยู่เสมอ ซึ่งการแสดงออกในความขัดแย้งนั้น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระดับของศีลธรรมและความเข้าใจอันดีในสังคม ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่เด็กและเยาวชนมีความคิดที่แหวกแนวในเรื่องกฎระเบียบบ้าง เพราะกฎระเบียบในบางเรื่องนั้นก็ควรต้องปรับเปลี่ยนตามสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ทันสมัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน แต่อย่างไรเสีย กฎระเบียบเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของบุคคล ก็ยังคงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องยึดถือ และมองการกระทำที่มาทำลายความสงบสุขนี้เป็นเรื่องเลวร้ายที่รับไม่ได้ ซึ่งการที่มีเด็กและเยาวชน หรือแม้แต่ผู้ใหญ่บางคนแสดงพฤติกรรมอยากเลียนแบบความรุนแรงนั้น นับเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะเป็นการแสดงถึงความไม่ตระหนักต่อความโหดร้ายรุนแรง ซึ่งเราคงต้องมาย้อนดูการศึกษาว่า เราได้ให้ความสำคัญกับศีลธรรมและความเข้าใจอันดีในสังคม ตลอดจนทักษะในการรู้เท่าทันสื่อ รวมถึงการรับสื่ออย่างมีวิจารณญาณมากน้อยแค่ไหน
- ให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้อย่างเหมาะสมกับนักเรียน เพื่อให้นักเรียนทราบข้อเท็จจริง และเข้าใจถึงผลของความรุนแรงดังกล่าว
- พยายามให้นักเรียนลดการรับสื่อลง ลดการรับข่าวสารในเรื่องนี้ผ่านทางโซเชียลต่าง ๆ ไม่เข้าไปดู ไม่เปิดอ่าน เพราะถ้าเราทราบเรื่องทั้งหมดแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปรับรายละเอียดเพิ่มเติมที่มาจากการใส่สีตีข่าว ซึ่งนอกจากจะไม่ได้อะไรเพิ่มเติมแล้วและยังส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อจิตใจของเราเองอีกด้วย
- แสดงให้นักเรียนรู้สึกว่าความรุนแรงนี้เป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับที่ใดหรือกับใครอีก และควรปฏิบัติตัวต่อเหตุการณ์นี้ด้วยการแสดงออกอย่างเหมาะสม
- เฝ้าระวังนักเรียนที่มีภาวะเสพติดความรุนแรง ซึ่ง มักจะแสดงออกมาผ่านการกระทำ เช่น ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่น หรือ โพสต์ภาพที่แสดงความรุนแรงในโลกโซเชียลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งครูผู้สอนควรปรึกษากับผู้ปกครอง รวมถึงนักจิตวิทยาเพื่อหาแนวทางแก้ไข
- ใช้สถานการณ์นี้ เป็นส่วนหนึ่งในการสอนนักเรียนในเรื่องของการระวังภัยและเอาตัวรอดในสถานการณ์วิกฤต
เรียบเรียง โดย นรรัชต์ ฝันเชียร