ชาวอินคา ผู้ครอบครองอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคก่อนโคลัมบัส เชื่อกันว่า ดวงอาทิตย์เป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ของตนเองขึ้นมา และยังเชื่อว่า กษัตริย์ของอาณาจักรนั้น เป็นบุตรแห่งพระอาทิตย์อีกด้วย

ความผูกพันของผู้คนกับดวงอาทิตย์ที่ส่องสว่างให้ความอบอุ่นและพลังงาน มีมาแต่ครั้งมนุษย์ยังไม่รู้ว่า แสงสว่างเจิดจ้านั้นคือพลังงานที่มาจากที่ใด รู้แต่เพียงว่า เป็นสิ่งที่สร้างสมดุลให้โลกมาช้านาน แต่จะเกิดอะไรขึ้น หากวันหนึ่งดวงอาทิตย์จะปล่อยพลังงานอย่างเข้มข้นออกมา แผดเผาดาวเทียมนอกโลกทุกตัวให้มอดไหม้ ไม่เว้นแม้แต่ชั้นบรรยากาศโลก ที่จะถูกทะลุทะลวงและพลังงานจะถูกส่งมาถึงยังพื้นโลก หรือถึงขั้นทำลายสิ่งมีขีวิตลงไปจนหมดสิ้น

ปรากฏการณ์ซูเปอร์แฟลร์ (Superflare) เป็นปรากฏการณ์การปล่อยพลังงานอย่างฉับพลันรุนแรงของดวงอาทิตย์ โดยที่ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อกันว่า ดาวฤกษ์ที่หมุนรอบตัวเองได้ช้าและมีอายุมากพอสมควรเช่นดวงอาทิตย์ จะไม่เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่จากผลการศึกษาล่าสุด ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชื่อ The Astrophysical Journal ได้ระบุว่า กล้องโทรทัศน์อวกาศเคปเลอร์ได้เคยบันทึกการเกิดซูเปอร์แฟลร์ในห้วงอวกาศลึกได้หลายครั้ง และดาวฤกษ์ที่มีลักษณะคล้ายดวงอาทิตย์ถึง 43 ดวงเคยปลดปล่อยพลังงานในระดับซูเปอร์แฟลร์มาแล้วในอดีต ซึ่งการปลดปล่อยพลังงานขั้นรุนแรงนี้เกิดขึ้นโดยเฉลี่ยทุก 200-300 ปี

สำหรับดวงอาทิตย์แล้วจะมีใจกลางเป็นแกนปฏิกรณ์นิวเคลียร์ และมีการแผ่รังสีด้วยอนุภาคโฟตอนอยู่ภายใน แต่เนื่องจากมวลของดวงอาทิตย์ปกคลุมไปด้วยก๊าซไฮโดรเจน พลังงานที่เกิดขึ้นจึงไม่สามารถแผ่ออกสู่อวกาศได้โดยตรง แต่ความร้อนจะถูกแผ่ออกมาสู่พื้นผิวในรูปแบบการหมุนวนของก๊าซร้อน ในบางครั้งที่ก๊าซร้อนเหล่านี้พุ่งตัวสูงขึ้นเป็นระยะทางหลายหมื่นกิโลเมตร เรียกว่า "พวยแก๊ส" (Prominences) พวยแก๊สเหล่านี้จะเคลื่อนที่ออกสู่อวกาศด้วยความเร็วถึง 3.6 ล้านกิโลเมตรต่อชั่วโมง หรือบางครั้งหากมีการระเบิดใหญ่กว่าจะเรียกว่า การลุกจ้า (Solar flare) ทำให้เกิดกลุ่มอนุภาคพลังงานสูงเรียกว่า "พายุสุริยะ" (Solar storm) ซึ่งสามารถสร้างความเสียหายให้แก่ดาวเทียมและยานอวกาศ เมื่อพายุสุริยะปะทะกับพื้นผิวโลกอาจทำให้ไฟฟ้าลัดวงจรหรือระบบคมนาคมขัดข้องได้

ซูเปอร์แฟลร์นั้น มีความรุนแรงมากกว่าการเกิดพายุสุริยะนับพันเท่า และอาจเกิดขึ้นได้กับดวงอาทิตย์ของเราได้ในอีก 100 ปีข้างหน้า ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง โลกของเราจะเข้าสู่ภาวะ “Offline” ทันที เนื่องจากระบบดาวเทียมต่าง ๆ จะถูกทำลายลง แต่ไม่ต้องกังวลมากไปนัก เพราะแม้แต่สิ่งมีขีวิตเองก็อาจถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกรณีศึกษาที่มีในปัจจุบันนั้นยังน้อยเกินไป นักวิทยาศาสตร์จึงยังคงต้องการศึกษาเพิ่มเติมว่า เหตุใดซูเปอร์แฟลร์จึงเกิดขึ้นกับดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ และเพื่อยืนยันความเป็นไปได้ว่าถ้าหากเกิดขึ้นจริง จะส่งผลกระทบกับโลกและสิ่งมีขีวิตอย่างไรบ้าง