แน่นอนว่า ปัญหานี้หากไม่เร่งแก้ไข ย่อมส่งผลร้ายต่อตัวเด็กเอง ที่เห็นได้ชัดที่สุด คือเด็กจะเข้าสังคมได้ยาก และกลายเป็นปัญหาติดตัวเขาไปตลอดชีวิต วันนี้เราจึงขอรวบรวมแนวทางการแก้ไขจากผู้รู้มาฝากค่ะ
เกือบทุกตำราเห็นพ้องต้องกันว่า การแก้ปัญหาต้องเริ่มจากตัวของผู้ใหญ่เองก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในครอบครัวซึ่งมีอิทธิพลต่อเด็กเป็นอย่างมาก คุณพ่อคุณแม่ต้องสังเกตพฤติกรรมของตัวเองและคนรอบข้างเด็กว่าเป็นคนโมโหร้ายหรือไม่ หากพบว่าใช่ ต้องพยายามหาทางแก้ไข เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่าการเป็นตัวอย่างที่ดีให้เด็ก ๆ ได้เห็นก่อนค่ะ
อารมณ์โมโหนับเป็นหนึ่งในอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องทำความเข้าใจว่ามันย่อมเกิดขึ้นได้กับเด็ก ๆ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าการห้ามไม่ให้โมโห ก็คือการรู้จักควบคุมอารมณ์ตัวเอง เมื่อลูกโมโห คุณพ่อคุณแม่อาจสอนให้ลูกใจเย็น ๆ สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หรือนับ 1 – 10 ในใจ และอาจแนะนำให้ลูกทำดังนี้
- มองหาข้อดีของคนที่ทำให้เขาโมโห เช่น เมื่อลูกโกรธเพื่อน คุณพ่อคุณแม่อาจสอนให้ลูกลองคิดถึงข้อดีของเพื่อนคนนั้นดูบ้าง และสอนพวกเขาว่า คนเราล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วยกันทั้งนั้น
- ให้กำลังใจเมื่อลูกสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดี อาจเป็นการชมเชยเพื่อให้เขารู้สึกภาคภูมิใจ และเมื่อเขาภาคภูมิใจ ก็จะตระหนักถึงคุณค่าในตัวของเขาเองได้ค่ะ
บางครั้ง พฤติกรรมก้าวร้าวก็อาจจะมาจากสื่อต่าง ๆ ที่ลูกได้ดู ได้ฟังมา คุณพ่อคุณแม่จึงต้องคอยคัดกรองสื่อ หรืออาจอธิบายให้เขาเข้าใจว่าพฤติกรรมแบบไหนดีและไม่ดี
การที่คุณพ่อคุณแม่ตามใจลูกมากเกินไปก็อาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กกลายเป็นคนขี้โมโหได้เช่นกัน คุณพ่อคุณแม่จึงต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก บางครั้งเมื่อลูกอาละวาดเอาแต่ใจในสิ่งที่ไม่เหมาะสม คุณพ่อคุณแม่อาจต้องอดทนทำเป็นไม่สนใจบ้าง จนเมื่อเขาสงบลงจึงค่อยเข้าไปดูแล เพื่อสอนให้เขาเข้าใจว่าการแสดงความก้าวร้าวรุนแรงไม่ทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ
คุณพ่อคุณแม่อาจสนับสนุนให้เด็ก ๆ ได้ออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายสดชื่น แจ่มใส และผ่อนคลาย ก็เป็นอีกทางที่มีส่วนช่วยแก้ปัญหาความขี้โมโหของเด็ก ๆ ได้ดีค่ะ