แหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับช้างไทย เยือนฟาร์มจระเข้ที่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สนุกสนานกับโชว์มายากล เดินเพลินชมเรือนเพาะพันธุ์กล้วยไม้ไทยต่าง ๆ และสวนป่าอันร่มรื่น นั่งรถเมล์ต่อเดียวจาก MRT หลักสอง

ลานแสดงช้างและฟาร์มจระเข้ สามพราน ตั้งอยู่บนถนนเพชรเกษม จากสถานี MRT หลักสอง นั่งรถเมล์สาย 84 คันสีส้มที่ไปวัดไร่ขิงต่อเดียวถึง ติดกับปั๊มน้ำมัน Jiffy ตรงข้ามโรงเรียนยอแซฟอุปถัมภ์ค่ะ  

ที่นี่ได้รับรางวัล Thailand Tourism Award จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ CITES 1991 ยกย่องให้ "เป็นฟาร์มจระเข้ที่สะอาดที่สุดและจัดระบบนิเวศน์ได้เหมาะสมที่สุดแห่งหนึ่งของโลก" ทางเข้าร่มรื่นด้วยซุ้มไม้เลื้อย มีที่จอดรถมากมายไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถบัส รถจักรยานยนต์ ฯลฯ

เปิดทุกวัน เวลา 8.30 - 17.30 น. เด็กเล็กที่สูงไม่เกิน 100 ซม. เข้าชมฟรี เด็ก (สูง 100 – 140 ซม.) ชาวไทย 100 บาท ชาวต่างชาติ 350 บาท ผู้ใหญ่ (สูง 140 ซม. ขึ้นไป) ชาวไทย 150 บาท ชาวต่างชาติ 600 บาทค่ะ นอกจากนี้ยังมี โครงการทัศนศึกษา ในราคาย่อมเยาสำหรับโรงเรียนต่าง ๆ ด้วยค่ะ รายละเอียดดูได้จากเว็บไซต์ https://www.elephantshow.com/home.htm

บริเวณทางเข้าใกล้จุดเช็กตั๋วจะมีร้านขนม ไอศกรีม และภัตตาคารอาหารบุฟเฟ่ต์ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติให้บริการเวลา 11.00 – 14.00 น. เด็ก 250 บาท ผู้ใหญ่ 350 บาทค่ะ

ด้านหน้ามีรถแข่งจอดอยู่ให้แวะถ่ายรูปกันได้

ความเป็นมาของที่นี่เริ่มจากการที่คุณพิชัย ชัยมงคลตระกูล ผู้ก่อตั้งได้นำช้างตกงานจากสุรินทร์มาฝึกหัดเพื่อแสดงโชว์ความสามารถ ทำให้ช้างและควาญช้างจำนวนหนึ่งไม่ต้องออกร่อนเร่หากินตามท้องถนน และมีการนำจระเข้ซึ่งเป็นสัตว์ที่หลาย ๆ คนมองว่าน่ากลัวเลยทำร้ายพวกมันอยู่เสมอจนใกล้สูญพันธุ์จากแหล่งน้ำธรรมชาติ มาขออนุญาตเพาะเลี้ยงเพื่ออนุรักษ์และพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรมการค้าและการท่องเที่ยวต่อไป

มีการแสดงโชว์ 3 อย่างสลับกันตลอดวัน ได้แก่ การแสดงช้าง การแสดงจระเข้ และการแสดงมายากลค่ะ

ก่อนจะไปชมการแสดง หากยังไม่ถึงเวลาก็มาที่ลานด้านหน้าในภาพบน ทำความรู้จักและให้อาหารช้างได้นะคะ

อาหารช้างที่จำหน่ายที่นี่ได้รับการคัดสรรและทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกล้วยหรืออ้อยค่ะ เพียงแกะถุงพลาสติก หรือดึงหนังยางออก ก็ส่งให้ช้างกินได้ โดยไม่ต้องปอกเปลือก

ซึ่งในแต่ละจุดจะมีควาญผู้ดูแลช้าง คอยให้ความรู้และตอบคำถามนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับช้างแต่ละเชือก นอกจากนี้มุมซ้ายล่างของภาพบนจะเห็นอ่างล้างมือเตรียมไว้ให้นักท่องเที่ยวล้างมือให้สะอาดทั้งก่อนและหลังการสัมผัสช้าง เพื่อสุขอนามัยที่ดีของทั้งคนและสัตว์ค่ะ

จุดถ่ายรูปมีมากมาย และนอกจากช้างแล้วที่นี่ก็ยังมีสัตว์ป่าอื่น ๆ ที่เลี้ยงไว้และหมุนเวียนนำมาโชว์ตัวให้ได้ชมกันค่ะ อย่างในภาพล่างนี้คือ ลิงกัง ลิงแสนฉลาดคู่ใจชาวสวนมะพร้าวไทยมาแต่โบราณ เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองอีกชนิดที่ต้องการขออนุญาตก่อนจึงจะนำมาเลี้ยงและส่งไปฝึกฝนได้ ซึ่งในไทยมี วิทยาลัยฝึกลิงเพื่อการเกษตร ด้วยค่ะ

อย่างไรก็ตาม ขนาดคนเราเวลาฟิวส์ขาด ก็ยังทำร้ายกันได้ง่าย แล้วนับประสาอะไรกับบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งเมื่อตกใจหรือโมโห สัญชาตญาณในการป้องกันตัวก็ย่อมมาก่อนเสมอ ดังนั้น จึงห้ามรุกล้ำกรงอันเป็นพื้นที่ส่วนตัวเด็ดขาดเลยค่ะ ส่วนในภาพล่างนี้คือ ชะนีมือขาว ที่ขนหลังมือและเท้าเป็นสีขาว

พอได้เวลาแล้วก็ไปชมการแสดงกันค่ะ เริ่มจากการแสดงมายากลแสนสนุกหลายชุดเลย ไม่ว่าจะเป็นเสกนก เสกปลา การออกจากกล่องที่ถูกล็อกไว้ ฯลฯ

จากนั้นก็เป็นไฮไลต์สำคัญของที่นี่คือการแสดงช้าง ซึ่งเริ่มจากการให้ข้อมูลของช้างไทย ซึ่งเป็นช้างเอเชียที่แม้จะตัวเล็กกว่าช้างแอฟฟริกัน แต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องพละกำลังและความฉลาดเฉลียว ช้างไทยแม้จะเป็นสัตว์ป่าแต่ก็มีความผูกพันกับสังคมไทยมานาน ในภาพล่างนี้ช้างเดินออกมากินหญ้าให้ผู้ชมดู ซึ่งแต่ละวันช้างจะกินพืชเป็นอาหารมากถึง 10% ของน้ำหนักตัวทีเดียว

ชาวกูย ในแถบจังหวัดสุรินทร์ จะไปคล้องช้างในป่ามาเลี้ยงและฝึกไว้ใช้งานมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยก่อนการคล้องช้างก็จะมีพิธีบวงสรวงต่าง ๆ แต่การคล้องช้างก็คือการขี่ ‘ช้างต่อ’ คือช้างที่เลี้ยงจนคุ้นเคยแล้ว เข้าไปใกล้ช้างป่าและนำเชือกคล้องไปที่ขาหลังของช้างป่า เพื่อจูงช้างป่ากลับหมู่บ้านไปเลี้ยงเพื่อลากซุงบ้าง เพื่อการศึกบ้างนั่นเอง

หากไม่ใช่ยามตกมัน ชาวไทยจะไม่เลี้ยงช้างในคอกตลอดเวลา เนื่องจากจะทำให้ช้างเครียด จะมีการพาออกไปในสวน ในป่า แม้ฉลาดแต่เพราะช้างตัวใหญ่มาก หากขาดสติขึ้นมาก็อาจเกิดอันตรายได้ไม่ต่างจากคนที่มีปืนอยู่ในมือ ควาญซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนของช้างจึงต้องมีตะขอช้างซึ่งไว้เรียกสติ ซึ่งควาญที่ดีจะใช้อย่างเหมาะสมและถูกต้องเมื่อจำเป็นเท่านั้น ไม่ทำให้ช้างบาดเจ็บ

ระหว่างการแสดงหลายๆ  ชุดที่เห็นมาก็เพียงพกไว้ แต่ไม่ได้ใช้ตะขอเลยด้วยซ้ำค่ะ เหมือนเป็นกิจกรรมร่วมกันอย่างหนึ่งของทั้งช้างและควาญแต่ละคู่ไป

นอกจากโชว์ลากซุง ขนท่อนไม้ แล้วก็ยังมีการแสดงจำลองการศึกยุทธหัตถี ซึ่งช้างไทยเป็นสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์มาตลอด สมัยก่อนออกศึกด้วยกัน และยังมีบรรดาศักดิ์สูงส่ง อย่าง ‘เจ้าพระยาไชยานุภาพ’ ช้างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าขุนนางขั้น ลอร์ด (Lord) ของชาวตะวันตกเลยทีเดียว

หลังสิ้นสุดการแสดงก็จะมีรถเข็นกล้วยอ้อยมาจำหน่าย เปิดโอกาสให้คนดูได้ซื้อหามาให้รางวัลนักแสดงตัวโตเหล่านี้ และถ่ายรูปใกล้ ๆ ได้ตามอัธยาศัย จากนั้นก็ไปดูโชว์จระเข้เป็นกันที่บ่อจระเข้ค่ะ

การแสดงเหล่านี้ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งเขาจะรู้จักจระเข้แต่ละตัว ตำแหน่งต่าง ๆ และพฤติกรรมของจระเข้ที่นำมาแสดงเป็นอย่างดี ห้ามลอกเลียนแบบเด็ดขาดทีเดียว  

จระเข้ที่ใช้แสดงเป็นจระเข้น้ำจืด ซึ่งพบได้ทั่วไปในประเทศไทย และส่วนมากตัวที่แสดงจะพุงป่องกันทั้งนั้นเลย น่าจะอิ่ม ง่วง จึงอาจไม่เกิดความสนใจจะกัดใครใด ๆ ต้องการนอนอ้าปากเพื่อระบายความร้อนมากกว่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจระเข้พุงป่อง อ้าปาก ทุกตัวจะไม่กัด นักแสดงได้ลองเอาไม้แตะจระเข้ตัวหนึ่งที่นอนอ้าปากให้ดู แล้วมันงับฉับลงมาทันที จึงต้องเปลี่ยนตัว ดังนั้นย้ำอีกครั้งว่า ห้ามลอกเลียนแบบเด็ดขาด

ใกล้ ๆ กันมีโต๊ะขายอาหารจระเข้ด้วย เป็นโครงไก่ ถังละ 20 บาท มี 5 ชิ้นค่ะ

จระเข้จะมารอกินอยู่ด้านล่างเลย ให้อาหารเสร็จอย่าลืมล้างมือด้วยนะคะ

อิ่มแล้วก็อ้าปากระบายความร้อนต่อ เพราะจระเข้ไม่มีต่อมเหงื่อค่ะ

นอกจากระบายความร้อน ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นกบางชนิด มาทำความสะอาด มาช่วยกำจัดปลิงควายซึ่งชอบเข้ามาอาศัยในปากจระเข้ให้ด้วยค่ะ การแสดงที่มีการยื่นมือไปในปากจระเข้และไม่เป็นอันตรายก็น่าจะเป็นการเลียนแบบพฤติกรรมนี้ของนกและจระเข้ค่ะ

จระเข้น้ำจืดออกลูกเป็นไข่ อาศัยในไทยและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Siamese Crocodile ค่ะ เดิมชุกชุมทั่วไป แต่ปัจจุบันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์แล้วค่ะ มีเขตอนุรักษ์ในธรรมชาติที่ บึงบอระเพ็ด อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อุทยานแห่งชาติปางสีดา ฯลฯ แต่จำนวนน้อยมาก ๆ ค่ะ แน่นอนว่าเป็นสัตว์คุ้มครอง ห้ามจับ ห้ามขาย ห้ามฆ่าโดยไม่ได้รับอนุญาต

จระเข้ที่แข็งแรงจะสามารถใช้หางในการฟาดป้องกันตัวและใช้ในการโบกว่ายน้ำ แต่ก็มีจระเข้พิการทั้งที่เกิดมาจากไข่ก็ไร้หาง หรือสู้กับตัวอื่นแล้วโดนกัดจนหางขาด จริง ๆ แล้วหากอยู่ในธรรมชาติจะมีโอกาสรอดได้ยากมาก แม้ในฟาร์มก็ต้องให้การดูแลเป็นพิเศษค่ะ

​

​

นอกจากนี้ก็มีจระเข้เผือกซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเม็ดสี ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะขาวทั้งตัว แต่ขาวกว่าจระเข้ปกติเท่านั้นค่ะ

​

​

นอกจากนี้ยังมีจระเข้น้ำเค็ม ซึ่งตัวใหญ่กว่าจระเข้น้ำจืด ในภาพล่างนี้มาโผล่อยู่ปริ่ม ๆ น้ำค่ะ จริง ๆ ตัวใหญ่มาก ๆ หากพูดถึงอายุ ดูตามป้ายที่นี่ไม่ว่าจระเข้น้ำเค็มหรือน้ำจืด อาวุโสสูงสุดได้ถึง 70 ปีทีเดียว

เดินมาสักพักแวะเข้าห้องน้ำได้นะคะ มีห้องน้ำสะอาดป้ายตัวโต ๆ เห็นชัดไว้ให้บริการค่ะ

จากนั้นจะถีบจักรยานน้ำ หรือเดินเล่นในสวนป่าก็ร่มรื่นมาก ๆ ค่ะ

ต้นไม้เยอะเลยเป็นม่านกรองฝุ่นชั้นดีทีเดียว

มีสะพาน ลำธาร น้ำตกจำลองเล็ก ๆ เป็นระยะ

ในน้ำมีฝูงปลาต่าง ๆ ตามจุดต่าง ๆ ในภาพล่างนี้เป็นถิ่นที่อยู่ของปลาแรด มีทั้งปลาแรดธรรมดา ปลาแรดสีทอง ปลาแรดเผือก นักท่องเที่ยวนิยมมาให้อาหารปลากัน

ข้ามไปเกาะกลางน้ำ จะมีทางขึ้นเนินเล็ก ๆ ข้างน้ำตก

ด้านหลังน้ำตกประดับภาพแกะสลักไทยอิทธิพลศิลปะขอมคล้าย ๆ ที่เห็นในปราสาทหิน เป็นอีกจุดที่มาถ่ายรูปกันได้

นอกจากนี้หากเดินไปสุดทางตรงภาพล่างนี้ มีกิจกรรมนั่งช้างท่องอุทยานด้วยค่ะ

หรือหากใครขวัญกล้าจะมาถ้าความหลอนก็มีบ้านผีสิงที่รวบรวมทั้งผีไทยและผีนานาชาติให้ได้เข้าชมกันด้วย

พ้นบริเวณสวนป่ามาจะเป็นสวนหย่อม ต้นไม้จะไม่สูงใหญ่หนาแน่นเท่าแต่ก็เป็นระเบียบสวยงามดี มีน้ำตกด้วยค่ะ

เดินมาเรื่อย ๆ เจอแปลงผักด้วย  

แล้วก็สวนไม้ดอกไม้ประดับอีกแห่ง

ใกล้ ๆ กันมีฟาร์มเลี้ยงนกกระจอกเทศ นกที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา บินไม่ได้ แต่วิ่งเร็วทีเดียวค่ะ ปัจจุบันมีการเลี้ยงนกกระจอกเทศในไทยเพื่อเก็บขนนกมาทำเป็นเครื่องประดับ เช่น พัด หมวก ฯลฯ และเก็บไข่ ซึ่งมีคุณค่าทางอาหารสูงและสามารถนำเปลือกไปทำเครื่องประดับหรือเครื่องใช้ได้ด้วยค่ะ

จากนั้นก็ไปดูสวนกล้วยไม้กันค่ะ โดยประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกอันดับต้น ๆ ของโลกเลย โดยเฉพาะบรรดากล้วยไม้เมืองร้อนค่ะ

มีทั้งกล้วยไม้ตระกูลแคทลียาและตระกูลหวาย

บริเวณใกล้ ๆ กันมีลานความรู้ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการให้ข้อมูลเกี่ยวกับกล้วยไม้พันธุ์ต่าง ๆ

ข้อมูลเกี่ยวกับช้างและจระเข้ ทั้งในเชิงวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมค่ะ

​

ก่อนจะย้อนมาถึงทางออกก็จะเจอโรงอาหาร ซึ่งใช้ระบบแลกคูปองเหมือนศูนย์อาหารทั่วไป ราคาก็ไม่แพงจานละประมาณ 40 – 50 บาท พอดีไปช่วงเย็นหลายร้านปิดแล้วเลยดูเงียบ ๆ หน่อยค่ะ ถ้ากลางวันคนก็จะเยอะกว่านี้

หากมีโอกาสพาครอบครัวมาเที่ยวหลบฝุ่นควันในบรรยากาศร่มรื่น ทำความรู้จักกับสัตว์และพืชต่าง ๆ ที่มีความผูกพันกับสังคมไทยบ้านเรากันได้ที่ลานแสดงช้างและฟาร์มจระเข้ สามพราน จังหวัดนครปฐม กันได้นะคะ

 “Amazing ไทยเท่” ที่เที่ยวเก๋ ๆ ใกล้ตัว อย่าลืมมาชื่นชมกันนะคะ