วัยเด็กเป็นวัยที่ภูมิต้านทานค่อนข้างต่ำ เมื่อได้รับเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรียก็อาจส่งผลให้ป่วยไข้ได้ง่าย คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลรักษาสุขภาพของลูกให้แข็งแรงอยู่เสมอ พร้อมทั้งหาวิธีการป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ ตามคำแนะนำดังนี้
คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกกินอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้งห้าหมู่ในแต่ละมื้อ เพราะอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จะช่วยให้ลูกมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง นอกจากนี้ยังควรให้ลูกหมั่นดื่มน้ำสะอาด พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมออีกด้วย
สามเสต็ปช่วยป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณพ่อคุณแม่ควรเตรียมอาหารร้อนและสดใหม่ไว้ให้ลูกและทุกคนในครอบครัว รวมไปถึงใช้ช้อนกลางทุกครั้งเมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกัน และควรล้างมือก่อนการรับประทานอาหารหรือหลังจากกลับจากนอกบ้าน สิ่งเหล่านี้จะช่วยขจัดเชื้อโรคตัวร้ายออกไปได้มากทีเดียว
ยิ่งช่วงที่มีข่าวโรคระบาด หรือช่วงอากาศเปลี่ยน คุณพ่อคุณแม่และคุณลูกควรสวมหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรคก่อนออกจากบ้านทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย
Tips : หากเป็นหน้ากากสีขาว-เขียว ควรหันสีเขียวออกด้านนอก เพราะมีสารเคลือบป้องกันน้ำและฝุ่นละอองอยู่
คุณพ่อคุณแม่ควรเลือกเครื่องกรองอากาศที่สามารถกรองเชื้อโรคและเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ติดตั้งไว้ในห้องนอน เพราะการกรองเชื้อโรคจากเครื่องปรับอากาศเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ
คุณพ่อคุณแม่ควรตรวจเช็คในสมุดตรวจสุขภาพของลูกว่าได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์หรือไม่ หากยังไม่ครบควรรีบพาลูกไปปรึกษาแพทย์และเข้ารับการฉีดวัคซีนอย่างถูกต้อง เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายของลูกให้แข็งแรงยิ่งขึ้น
บางครั้ง "บ้าน" ก็เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคได้หากไม่ได้ทำความสะอาดเป็นเวลานาน ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรหาเวลาทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ โดยเฉพาะโซนที่ลูกมักไปนั่งเล่น หรือของเล่นของลูก โดยอาจชวนลูกมาทำความสะอาดด้วยกัน ถือเป็นการสร้างความรับผิดชอบและวินัยในการช่วยงานบ้านไปในตัว
เมื่อลูกต้องไปโรงเรียน อยู่ห่างไกลจากพ่อแม่ ควรสอนให้เขารู้จักการรักษาสุขอนามัยด้วยตัวเอง อาทิ ไอจามควรปิดปาก ใช้ช้อนกลางทุกครั้งที่กินข้าวกับเพื่อน ล้างมือทุกครั้งหลังออกจากห้องน้ำ ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้กับคนไม่สบาย เป็นต้น
คุณพ่อคุณแม่ควรอัพเดทข่าวสารอยู่เสมอว่าช่วงนั้นมีโรคภัยอะไรระบาดอยู่หรือไม่ หากพบว่ามีควรหาข้อมูลและทำความเข้าใจ เพื่อหาทางป้องกันและการรักษาที่ถูกต้อง เพื่อจะได้สังเกตอาการของลูกว่ามีความผิดปกติใด ๆ หรือไม่ หากพบว่าลูกมีอาการป่วยหรืออาการต้องสงสัยใด ๆ จะได้พาไปพบแพทย์ได้อย่างทันท่วงที