การจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการสร้างบ้านสักหนึ่งหลัง ซึ่งก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะช่วยให้เจ้าของบ้านสะดวกมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นบริการแบบครบวงจรในที่เดียวจบ ตั้งแต่การคัดเลือกแบบบ้านที่เราต้องการ ดำเนินเรื่องขออนุญาตก่อสร้าง ไปจนถึงการก่อสร้างบ้านให้เราจนเสร็จสมบูรณ์หนึ่งหลัง แต่ทั้งนี้การตัดสินใจเลือกบริษัทรับสร้างบ้านมาก่อสร้างบ้านให้เรานั้น มีสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาคือ ความน่าเชื่อถือของบริษัท ชื่อเสียง ประวัติและผลงานที่ผ่านมา การควบคุมคุณภาพ การติดต่อประสานงาน การรับประกันผลงาน การบริการหลังการขาย เงื่อนไขต่าง ๆ ราคาค่าก่อสร้างและสิ่งที่เราจะได้รับจากบริษัท รวมถึงวิธีการก่อสร้างและคุณภาพวัสดุที่เลือกใช้ ซึ่งต้องนำมาพิจารณาประกอบกันหลายแง่มุมเปรียบเทียบกันก่อนการตัดสินใจเลือกบริษัทมารับสร้างบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเจ้าของบ้านเอง โดยที่จะต้องดูข้อหลัก ๆ ดังนี้
สิ่งสำคัญที่ควรดูก่อนเลือกจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน
1.บริษัทรับสร้างบ้านควร จดทะเบียนนิติบุคคล มีวิศวกร สถาปนิก คอยให้คำปรึกษา
โดยทั่วไปบริษัทรับสร้างบ้านที่มีการจดทะเบียนนิติบุคคล มักจะมีระบบการตรวจสอบคุณภาพการก่อสร้างหน้างานทำให้ลดความเสี่ยง ในการเกิดปัญหาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้างทรุดตัว แตกร้าว หรืองานระบบใช้งานไม่ได้ เมื่อเทียบกับการใช้ผู้รับเหมารายย่อยทั่วไป
ซึ่งมักจะทำตามแบบหรือทำตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง โดยไม่ได้ตรวจสอบ ความเหมาะสมของการใช้งาน หรือไม่มีตัวกลางในการตรวจสอบควบคุมคุณภาพที่กำลังก่อสร้าง
2.ควรเข้าไปดูที่ออฟฟิศของบริษัทรับสร้างบ้านเพื่อดูความน่าเชื่อถือ
การเลือกว่าจ้างบริษัทรับเหมาก่อสร้าง หากเราได้รู้จักที่อยู่และหลักแหล่งของบริษัทที่เราจะทำการว่าจ้าง ก็จะช่วยให้เราประเมินความน่าเชื่อถือเบื้องต้นได้ ทั้งนี้การเข้าไปดูสภาพออฟฟิศ ก็ทำให้เราประเมินสภาพคล่องของบริษัทที่เราอาจจะว่าจ้างได้ในอนาคตอีกด้วย
3.เปรียบเทียบบริษัทรับสร้างบ้าน ด้วยเงื่อนไขการว่าจ้างที่ใกล้เคียงกัน
ในการเปรียบเทียบราคาที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเสนอ ควรเปรียบเทียบบนพื้นฐานของขอบเขตงานที่ใกล้เคียงกันและวัสดุเทียบเท่ากัน ในทางปฏิบัติบริษัทรับสร้างบ้านแต่ละราย อาจจะมีเทคนิคในการนำเสนอแตกต่างกันไป เช่น บางรายต้องการเสนอราคาให้ต่ำ ก็อาจจะไม่ได้รวมงาน บางประเภทไว้ในการเสนอราคารอบแรก ทำให้ยอดรวมของราคาที่เสนอไปให้ผู้ว่าจ้างต่ำ ดูแล้วไม่แพง ซึ่งหากผู้ว่าจ้างตกลงว่าจ้าง บริษัทรับสร้างบ้านรายนี้ก็อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่งอกเพิ่มขึ้นมาในการก่อสร้างภายหลัง ทำให้เกิดเป็นงบบานปลายขึ้นได้
4.สรุปขอบเขตงานการว่าจ้างให้ชัดเจน
การสรุปขอบเขตการจ้างงานในแต่ละส่วนมีความสำคัญ ช่วยลดการเกิดข้อพิพาทระหว่างผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้างได้ เนื่องจากหากไม่สรุปขอบเขตให้ชัดเจนแล้ว หากมีงานเพิ่มขึ้นมาในภายหลัง ผู้รับจ้างก็อาจจะขอคิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม
5.ดูผลงานเพื่อประกอบการตัดสินใจในการว่าจ้าง
เราสามารถขอเยี่ยมชมไซต์งานที่กำลังก่อสร้างอยู่ของบริษัทรับสร้างบ้าน หรือหากไม่สะดวกหรือไม่มีเวลาก็สามารถสอบถามถึงโครงการหรือโปรเจคที่ทำไปแล้วได้
6.ตรวจสอบสัญญาก่อสร้างก่อนเริ่มงานให้ชัดเจน
สัญญาก่อสร้างที่ดีควรระบุวันเริ่มงาน วันที่คาดว่างานจะแล้วเสร็จ ขอบเขตการทำงาน งวดงานการจ่ายเงินที่ชัดเจนว่าควรจ่ายเงินเมื่อไหร่ เมื่องานแต่ละขั้นตอนแล้วเสร็จ โดยปริมาณเงินที่จ่ายไปควรจะสัมพันธ์กับปริมาณงานแต่ละงวดงาน นอกจากนี้การระบุการจ่ายเงินตามงวดงาน โดยอ้างอิงเปอร์เซ็นงานที่แล้วเสร็จ อาจก่อให้เกิดข้อพิพาท โต้เถียงกันได้ ว่าแล้วเสร็จเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ ถูกต้องตามที่แต่ละฝ่ายกล่าวกล่าวอ้างหรือไม่
สุดท้ายนี้ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีกควรเลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่มีประกันตัวบ้านเอาไว้ด้วย เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าบ้านจะเกิดความเสียหายตอนไหน เมื่อไร เพื่อที่จะช่วยให้ตัวเจ้าของบ้านนั้นสบายใจยิ่งขึ้น