ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของพัฒนาการเด็กมักแนะนำให้คุณแม่ฟังเพลง และใช้ดนตรีเป็นสื่อกลางในการกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง เพราะคลื่นเสียงของดนตรีนั้น จะส่งสัญญาณไปยังเส้นใยประสาทที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการได้ยิน (Auditory) ทำให้ลูกน้อยสามารถจัดลำดับความคิดในสมอง และมีพัฒนาการที่ดีขึ้น
เมื่อลูกน้อยเติบโตขึ้น ดนตรี ยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา รวมถึงจินตนาการของเด็ก ๆ อีกด้วย โดยเราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ดนตรีถูกนำมาใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นในวิชาภาษาไทย ภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่วิชาคณิตศาสตร์ก็ตาม เพราะการฟังดนตรีสามารถกระตุ้นพัฒนาการทางสมอง และความจำได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถช่วยให้เด็กมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น รวมถึงมีความคิดเชื่อมโยงเป็นระบบ และช่วยเสริมสร้างสมาธิให้จดจ่อต่อการทำกิจกรรม
นอกจากนั้น ดนตรียังมีส่วนช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาของเด็กได้อีกด้วย เนื่องจากในช่วงวัย 1-3 ขวบนั้น จะเป็นช่วงที่เด็กเริ่มมีพัฒนาการด้านการสื่อสาร เพราะฉะนั้นควรให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านการฟัง รวมถึงเรียนรู้เรื่องราวที่ร้อยเรียงเป็นบทเพลงผ่านเสียงดนตรี ก็จะทำให้เด็กเกิดการซึมซับและเรียนรู้ในเรื่องของการจำแนกเสียง เรียนรู้คำศัพท์ภาษาต่าง ๆ (Vocabulary) ผ่านการจำหรือการได้ยินจากเนื้อเพลง และเมื่อพ่อแม่มีการพูดคุยหรือนำบทเพลงที่ลูกได้ยินนั้นมาทบทวนเพิ่ม ก็จะยิ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการและช่วยให้ลูกเกิดความเข้าใจในคำศัพท์ต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น
และเนื่องจากการฟังดนตรีทำให้เกิดความสุข และช่วยให้จิตใจผ่อนคลาย ดังนั้นดนตรีจึงมักถูกนำมาบำบัดพฤติกรรมเชิงลบ หรือช่วยบำบัดความเครียดได้ เราจะเห็นได้ว่าในบางโรงพยาบาล ได้นำศาสตร์ของการใช้ดนตรีบำบัดมาเพื่อช่วยรักษา และแก้ไขปัญหาเด็กที่มีอารมณ์แปรปรวนหรือมีภาวะความเครียดสูง โดยการเปิดเพลงเบา ๆ ทั้งเพลงคลาสสิค หรือเป็นบทเพลงที่มีเสียงธรรมชาติประกอบด้วย
สุภาพรรณ ศรีสุข (ครูแหม่ม)
ที่ปรึกษาวิชาการ โรงเรียนศิลปพัฒนาการสมองเด็ก K.D.S.