ในฐานะของคุณพ่อคุณแม่ แม้อยากจะปกป้องดูแลลูกมากแค่ไหน ก็คงไม่สามารถคอยอยู่ปกป้องเขาได้ตลอดไป แต่คุณพ่อคุณแม่สามารถติดอาวุธให้ลูกใช้ต่อสู้กับปัญหาเหล่านั้นได้ ด้วยการสร้างเขาให้เป็น "เด็กที่มีความคิดแบบเติบโต" หรือ Growth Mindset นั่นเอง
ทัศนคติที่เด็กมีต่อตัวเองนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันจะส่งผลต่อความความสุขและความสำเร็จรอบด้านของเขาในอนาคต งานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดในปี 1960 พบว่า มนุษย์มีทัศนคติต่อตัวเองอยู่ 2 แบบคือ
คือทัศนคติที่เชื่อว่า ความสำเร็จเกิดจากพรสวรรค์ที่ติดตัวมา และตีกรอบตัวเองว่า เราไม่สามารถพัฒนาตัวเองได้ หากลูกมีทัศนคติแบบ fixed mindset เขาจะมองความท้าทายเป็นปัญหา ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น กลัวความล้มเหลว เครียดง่าย และอาจนำไปสู่การมีปัญหาด้านสุขภาพจิต
คือทัศนคติดที่เชื่อว่า มนุษย์นั้นสามารถพัฒนาได้ด้วยความพยายาม เด็กกลุ่มนี้จะมองปัญหาเป็นความท้าทาย ไม่ท้อแท้ง่าย ๆ และมีโอกาสประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้นด้วย ดังนั้นการสนับสนุน ส่งเสริมให้ลูกมีทัศนคติแบบ Growth Mindset จึงเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ค่อนข้างให้ความสำคัญ เพื่อสร้างเกราะป้องกันให้ลูกเอาไว้ต่อสู้กับปัญหาต่าง ๆ ที่เขาต้องพบเจอเมื่อเติบโตขึ้น
หากคุณพ่อคุณแม่ต้องการปลูกฝังให้ลูกเติบโตเป็นคนที่มีทัศนคติแบบ Growth Mindset คุณพ่อคุณแม่อาจต้องเริ่มปรับที่ตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเด็ก ๆ จะเรียนรู้จากการแสดงออกของคุณพ่อคุณแม่ได้มากที่สุด หากคุณพ่อคุณแม่ไม่เชื่อมั่นในตัวลูก มองความผิดพลาดของลูกเป็นปัญหา และคิดว่าเขาไม่สามารถพัฒนาได้ การแสดงออกของคุณก็จะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นแบบนั้นเช่นกัน แต่ในทางตรงกันข้าม หากคุณพ่อคุณแม่เชื่อมั่นในตัวเขา และมีทัศนคติแบบ Growth Mindset คุณจะสามารถทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อพัฒนาให้ลูกมีทัศนคติแบบ Growth Mindset ได้เช่นกันค่ะ
เมื่อลูกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ดี คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจชมว่าลูกเก่ง ลูกมีความสามารถ แต่การชมแบบนั้นอาจทำให้ลูกเข้าใจว่า หากเขาไม่เก่ง เขาจะไม่ได้รับการยอมรับชื่นชมจากคุณ ดังนั้นลองเปลี่ยนวิธีการชื่นชมลูกใหม่ โดยให้ชมไปที่ความพยายามของลูกมากกว่าผลลัพท์ เช่น แทนที่จะชมว่าลูกดี ฉลาดหรือเก่ง ให้ชมว่าลูกมีความพยายามและตั้งใจดีมาก ลูกมีความอดทนมาก แทนดีกว่า
ไม่มีใครในโลกนี้ที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลย ดังนั้นต้องมีบ้างที่ลูกทำสิ่งผิดพลาดลงไป สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ต้องทำก็คือ คุณต้องใจเย็น ๆ และไม่ทำให้ลูกรู้สึกว่านี่คือตราบาปที่จะติดตัวเขา หรือการกระทำของเขาคือจุดสิ้นสุดของทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ควรสอนให้เขายอมรับในความผิดพลาดนั้น และเรียนรู้จากมันเพื่อพัฒนาตัวเองต่อไป
ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เกิดจากความพยายามและการฝึกฝน ในวันที่ลูกล้มเหลว ให้คุณพ่อคุณแม่สอนลูกเสมอว่า ลูกไม่ได้ “ทำสิ่งนั้นไม่ได้” เราแค่ “ยังทำไม่ได้” ในตอนนี้ก็เท่านั้น หากเราฝึกฝนอย่างดีพอ มีความตั้งใจมากพอ สักวันเราจะทำสิ่งนั้นได้อย่างแน่นอน วิธีนี้จะทำให้ลูกเข้าใจว่า ความล้มเหลวไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งของความสำเร็จในอนาคต
คุณพ่อคุณแม่ควรปล่อยให้ลูกทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง แม้จะดูช้าจนขัดใจคุณพ่อคุณแม่อยู่บ้าง หรือดูไม่สมบูรณ์แบบดังที่คุณคิด แต่ก็ขอให้อดทน และเฝ้าดูเขาทำสิ่งต่าง ๆ นั้นอย่างใจเย็น คอยให้กำลังใจเขา คอยชื่นชมในความพยายามของเขา เพื่อให้เขาได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างเต็มที่
มนุษย์จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้ลงมือทำ หรือสัมผัสสิ่งใหม่ ๆ เหล่านั้น คุณพ่อคุณแม่จึงควรสนับสนุนให้ลูกได้ทำในสิ่งที่เขาไม่เคยทำ เพื่อให้เขาได้เรียนรู้ และมีการพัฒนาตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็จะเติบโตเป็นคนที่พร้อมเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อย่างมีความสุขได้เอง