ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีว่า น้ำแข็งในแถบขั้วโลกนั้นละลายเร็วมากกว่าปกติที่เคยเป็นมา สืบเนื่องจากภาวะโลกร้อน การละลายของน้ำแข็งที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทุกปี โดยระดับความสูงเฉลี่ยของระดับน้ำทะเลทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นราว 3 มิลลิเมตรในทุกปี บางทีเนื้อหาในภาพยนตร์ก็อาจไม่ใช่อนาคตอันไกลโพ้นอีกต่อไป
แผ่นภูเขาน้ำแข็งคือ มวลดินแดนน้ำแข็ง (Glacier) ขนาดใหญ่ มีพื้นที่ขนาด 50,000 ตารางกิโลเมตร แผ่นภูเขาน้ำแข็งที่สำคัญของโลกครอบคลุมทวีปกรีนแลนด์ (Greenland) และแอนตาร์กติกา (Antarctica) ทั้งสองดินแดนภูเขาน้ำแข็งนี้เป็นแหล่งน้ำแข็งที่บรรจุน้ำจืดถึงร้อยละ 99 ของแหล่งน้ำทั้งหมดในโลก โดยแผ่นภูเขาน้ำแข็งแอนตาร์ติกมีขนาดประมาณ 14 ล้านตารางกิโลเมตร และมีน้ำแข็ง 30 ล้านลูกบาศก์กิโลเมตร ส่วนภูเขาน้ำแข็งกรีนแลนด์มีขนาดพื้นที่ประมาณ 1.7 ล้านตารางกิโลเมตร โดยครอบคลุมทั้งทวีปกรีนแลนด์เป็นส่วนใหญ่
สิ่งที่ตามมาทันทีหากภูเขาน้ำแข็งละลาย คือ ระดับน้ำที่สูงขึ้น ถ้าหากน้ำแข็งที่กรีนแลนด์ละลายทั้งหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น 7 เมตร และหากน้ำแข็งที่แอนตาร์กติกาละลายทั้งหมด ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นถึง 73 เมตร ดังนั้น ถ้าหากน้ำแข็งละลายหมดไปจากโลกในทันที ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นทันที 80 เมตร
นอกจากนี้ การหมดไปของน้ำแข็ง การเพิ่มของระดับน้ำ จะส่งผลให้โลกร้อนขึ้นกว่าที่เคยเป็น น้ำในมหาสมุทรซึ่งดูดซับความร้อนของโลกเอาไว้ก็จะยิ่งขยายตัว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ประเมินว่า จะทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีก 30 เมตร ดังนั้น โดยรวมแล้ว ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นทั้งหมด 110 เมตรเลยทีเดียว
สิ่งแรกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ภาวะโลกร้อนที่เพิ่มมากขึ้น สภาพแผนที่ของทั้ง 7 ทวีปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ติดทะเล ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้อย่างฉับพลัน ประชากรร้อยละ 50 ของโลกจะได้รับผลกระทบทันที หรือเท่ากับประชากรจำนวน 3.5 พันล้านคนต้องอพยพทิ้งถิ่นฐานเดิม ความเป็นอยู่ของมนุษย์จึงแออัดเพิ่มมากขึ้น
สำหรับประเทศไทยเองก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยสูงขึ้น เกาะทางภาคใต้หลายเกาะจะหายไปทันที รวมไปถึงพื้นที่ฝั่งภาคตะวันออกและภาคกลางของประเทศก็มีแนวโน้มจะหายไปจากแผนที่เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากน้ำแข็งละลายไปและเพิ่มระดับน้ำทะเลให้สูงขึ้น ทุกพื้นที่จะยังได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันออกไป เนื่องจากเหตุผลดังนี้
● แรงดึงดูดโน้มถ่วง - แผ่นน้ำแข็งขนาดมหึมานั้น ก่อให้เกิดแรงดึงดูดโน้มถ่วงขนาดใหญ่รอบ ๆ บริเวณมากกว่าที่บริเวณอื่นมี เมื่อแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์และแอนตาร์กติกละลาย แรงดึงดูดโน้มถ่วงในบริเวณนี้จึงลดลง และระดับน้ำทะเลรอบ ๆ บริเวณนี้จึงลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาระดับน้ำให้สมดุลตามธรรมขาติ น้ำจึงต้องไหลไปยังบริเวณอื่นของโลกแทน และเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของแรงดึงดูดโน้มถ่วงเกิดขึ้นที่บริเวณขั้วโลก บริเวณที่อยู่ในละติจูดที่ต่ำจึงมีแนวโน้มที่น้ำทะเลจะสูงขึ้นกว่าระดับค่าเฉลี่ย
● การยกตัวของแผ่นดินเมื่อน้ำแข็งละลาย - กรณีตัวอย่างคือ เมื่อสิ้นสุดยุคน้ำแข็งเมื่อประมาณ 10,000 ปีที่แล้ว ก้อนน้ำแข็งขนาดมหึมาที่เคยกดทับเปลือกโลกไว้โดยเฉพาะในซีกโลกเหนือ เมื่อก้อนน้ำแข็งเหล่านี้ได้ละลายหายไป เปลือกโลกก็เริ่มมีการปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับการลุกจากที่นอนตอนเช้า เมื่อเวลาผ่านไป ที่นอนก็จะค่อย ๆ กลับมามีระดับที่เรียบเสมอกัน เป็นกระบวนการที่เรียกว่า การปรับตัวจากการกดทับโดยน้ำแข็ง ซึ่งใช้เวลานานหลายพันปี และเมื่อพื้นผิวของเปลือกโลกลอยขึ้น ระดับน้ำทะเลท้องถิ่นนั้นก็จะลดลงตามลำดับเช่นกัน
● โลกเอียง - เป็นที่ทราบกันดีว่าโลกของเราหมุนรอบตัวเอง แต่แท้ที่จริงแล้วโลกของเรากำลังค่อย ๆ “เอียง”ไปจากแนวแกนการหมุนในทุก ๆ ปี ทั้งนี้ เมื่อน้ำแข็งละลายกลายเป็นน้ำในมหาสมุทร ย่อมส่งผลให้การกระจายตัวของมวลในโลกเปลี่ยนแปลงไป และรูปร่างของโลกก็เปลี่ยนไปด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อการแปรปรวนของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น แต่อาจไม่มากเท่าปัจจัยก่อนหน้าที่ได้กล่าวไปแล้ว
เมื่อน้ำแข็งในโลกหมดไป นอกจากระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น โลกของเรายังมีความเปลี่ยนแปลงไปอีกมากมายเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ ลูกหลานของเราต้องอยู่อย่างอดอยาก แออัด บนโลกที่บิดเบี้ยวไปจนหมด แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น เราทุกคนสามารถร่วมมือกันได้ อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยกันชะลอปัจจัยต่าง ๆ ที่ทำให้โลกร้อน เพื่อโลกของเราจะได้คงอยู่และสวยงามต่อไปตราบนานเท่านาน
บทความที่เกี่ยวข้อง
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change)
- ภาวะโลกร้อน (Global Warming)