วัดเทพธิดาราม ตั้งอยู่ใกล้ ๆ วัดราชนัดดาฯ และก็เป็นอีกหนึ่งวัดสำคัญในเกาะรัตนโกสินทร์ที่สร้างขึ้นโดยล้นเกล้าฯ ร.3 เพื่อเป็นพระราชกุศลให้พระราชธิดาองค์โปรดของพระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงวิลาส ซึ่งต่อมาเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ “เสด็จป้า” ของ สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดีซึ่ง เป็นพระราชนัดดาพระองค์โปรดของล้นเกล้าฯ ร.3 ที่พระองค์โปรดฯ ให้สร้างวัดราชนัดดาฯ เพื่อเป็นพระราชกุศลให้ และเป็นสมเด็จพระราชินีพระองค์แรกในล้นเกล้า ร.4 ด้วย
สถานที่ซึ่งเป็นไฮไลต์สำคัญของการมาชมวัดนี้คือ พระอุโบสถ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธเทววิลาส พระวิหารซึ่งมีรูปปั้นภิกษุณีมากถึง 52 องค์ และที่พลาดไม่ได้เลยคือ พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณกุฏิหลังเดิมที่ท่านเคยจำพรรษาอยู่ที่นี่ค่ะ เปิดทุกวันในเวลา 9.00 – 17.00 น. ชาวต่างชาติซื้อบัตรเข้าชมได้ในราคา 100 บาท ซึ่งเป็นการสนับสนุนทางวัดในการบูรณะซ่อมแซม ส่วนชาวไทยที่เข้าชมได้ฟรีก็สามารถร่วมหย่อนเงินบริจาคช่วยค่าน้ำค่าไฟและการดูแลโบราณสถานแห่งนี้ได้เช่นกันค่ะ
พระอุโบสถมีซุ้มใบเสมาเรียงรายอยู่โดยรอบ แม้ตัวอาคารจะเป็นทรงไทยประเพณี แต่มีเสาพาไลเป็นแบบสี่เหลี่ยมทึบตันเพื่อความคงทนอย่างที่นิยมในสมัย ร.3 และมีหน้าบันปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นรูปหงส์คู่ สัญลักษณ์อันเป็นมงคลของสตรีตามคติจีน กับลายพวงอุบะอย่างไทยและลายพรรณพฤกษาผสมผสานอยู่อย่างเป็นเอกลักษณ์ อย่างที่ไม่ค่อยได้พบเห็นในวัดอื่น ๆ
ด้านล่างประดับประดาด้วยตุ๊กตาหินอับเฉา ที่ว่ากันว่ามาจากภาษาแต้จิ๋วที่ว่า “เอี๊ยบชึง”(压舱)ที่ใช้ถ่วงเรือยามนำสินค้าเบา ๆ อย่างแพรไหม และเครื่องกระเบื้องกลับไทย ไม่ให้ถูกคลื่นซัดล่มลง ซึ่งเมื่อถึงไทยก็นำขึ้นถวายพระมหากษัตริย์และเจ้านาย ซึ่งก็โปรดฯ ให้นำไปประดับเป็นทวารบาลป้องกันสิ่งชั่วร้ายตามวัดวาอารามต่าง ๆ ต่อไป อับเฉาที่วัดอื่นมักเป็นชายและก็มักมีแต่ตุ๊กตาจีน แต่ที่นี่เป็นหญิงและเด็ก แล้วก็มีทั้งไทยและจีนปนกันด้วยนะคะ
บริเวณทางขึ้นมีป้าย QR Code ให้สแกนเพื่อชมข้อมูลของพระอุโบสถ จากเว็บไซต์ของทางวัด ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ด้วยค่ะ
ด้านในพระอุโบสถมีพระประธาน คือ พระพุทธเทววิลาส (หลวงพ่อขาว) พระพุทธรูปศิลาขาวปางมารวิชัย ที่ล้นเกล้าฯ ร.3 โปรดฯ ให้อัญเชิญจากพระบรมมหาราชวัง มาประดิษฐานอยู่บนเวชยันต์บุษบก (บุษบกท้ายเกริน) ซึ่งมีการสันนิษฐานว่าเป็นเครื่องแสดงพระอิสริยยศของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ องค์อุปถัมภ์ของวัดนี้ และต่อมาล้นเกล้าฯ ร.9 ทรงเฉลิมพระนามว่า “พระพุทธเทววิลาส”
สองข้างบุษบกประดิษฐานพระประธาน มีพระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามสมุทร ภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นโทนสีเข้มตามที่นิยมกันในสมัย ร.3 เป็นลายพุ่มข้าวบิณฑ์ดอกพุดตานเครือเถา
หน้าต่างเป็นภาพลายรดน้ำละเอียดปราณีตรูปเทวดาในวิมาน
ถัดจากพระอุโบสถก็จะเป็นพระวิหาร ซึ่งมีเจดีย์สีขาวแบบย่อมุมไม้สิบสองเรียงเป็นแถว ตั้งอยู่ด้านนอก
หน้าบันพระวิหารก็เป็นศิลปะใกล้เคียงกับหน้าบันพระอุโบสถ แต่มีหงส์เป็นตัวเดียว ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นปูนปั้นปิดทองลายดอกพุดตาน
ภายในมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย และมีจิตรกรรมฝาผนังที่ได้รับอิทธิพลศิลปะจีนเป็นลายหงส์บนพื้นแดง
และมีรูปหล่อดีบุกปิดทองของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี ในตู้กระจก และพระภิกษุณี มากที่สุดแห่งหนึ่งในไทย คือ 52 องค์
ภาพลายรดน้ำส่วนล่างบนบานหน้าต่างบอกเล่าเรื่องราวพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า
ถัดมาด้านนอกกำแพงแก้วเข้าสู่เขตสังฆาวาส (เขตที่พำนักของพระสงฆ์) ระหว่างทางไปกุฏิท่านสุนทรภู่ ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบันก็จะพบรูปปั้นสุดสาครขี่ม้านิลมังกร และป้ายภาพตัวละครในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณีแบบเจาะช่องใบหน้าไว้ให้ถ่ายรูปกันได้
พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ตั้งอยู่บริเวณกุฏิในหมู่กุฏิคณะ 7 ซึ่งทางวัดอนุรักษ์ไว้เป็นอนุสรณ์ถึงท่านสุนทรภู่ที่เคยมาจำพรรษาที่นี่ และเป็นแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับชีวประวัติและผลงานวรรณกรรมของท่าน
หมู่กุฏินี้เป็นกลุ่มอาคารชั้นเดียวก่ออิฐถือปูน มีเสาแบบสี่เหลี่ยมทึบตันเช่นเดียวกับอาคารอื่น ๆ ส่วนใหญ่ในวัด มีต้นไม้ดอกไม้ประดับเป็นระยะให้เกิดความร่มรื่น
เมื่อเข้ามาด้านในจะมีสามเณรและเจ้าหน้าที่จิตอาสาของทางวัดให้การต้อนรับและนำชม นอกจากนี้ยังมีบริการเช่าชุดไทยพร้อมเครื่องประดับถ่ายภาพในบริเวณพิพิธภัณฑ์ในราคา 100 บาท/คน โดยชุดเหล่านี้ใส่ครั้งเดียวแล้วทีมงานจะเก็บแยกเพื่อส่งซักทันที จึงไม่ต้องห่วงเรื่องความสะอาด และหากใครไปแต่เช้าก็จะมีชุดให้เลือกมากมายเลยค่ะ
จุดแรกเป็นบริเวณชานเรือน ซึ่งเราจะได้ชมแอนิเมชั่นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติโดยย่อของท่านสุนทรภู่ และถ่ายรูปโดยเทคโนโลยีเออาร์ (Augmented Reality) ที่เป็นการผสมผสานภาพจริงและภาพดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน เหมือนท่านภิกษุภู่ (สุนทรภู่) ปรากฏตัวขึ้นในภาพถ่ายของเราจริง ๆ โดยเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ถ่ายภาพและส่งให้เมื่อเสร็จสิ้นการชมพิพิธภัณฑ์
ห้องแรกคือ ห้อง “แรงบันดาลใจไม่รู้จบ” มีรูปหล่อท่านสุนทรภู่ซึ่ง UNESCO ได้ประกาศยกย่องให้เป็นบุคคลผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรมระดับโลก และเป็นสามัญชนคนแรกของไทยที่ได้รับเกียรตินี้
ตรงกลางห้องตู้จัดแสดงสมุดไทยดำเล่มหนึ่งที่บันทึกนิทานคำกลอนเรื่องพระอภัยมณี สมุดนี้ถูกค้นพบภายในวัดเทพธิดาราม และนำไปให้กรมศิลปากรซ่อมแซมให้ก่อนนำมาจัดแสดง เมื่อนำมาเทียบความกับ หนังสือพระอภัยมณี ที่กรมศิลปากรจัดพิมพ์แล้วก็ใกล้เคียงมาก ๆ เลยค่ะ ต่างเพียงการสะกดคำบางอย่าง เช่นคำว่า “เปน” ในอดีต (บนแผ่นจารึกที่วัดโพ ก็สะกดว่า “เปน” เหมือนกัน) และ “เป็น” ในปัจจุบัน
และก็มีไทม์ไลน์ ไล่เรียงลำดับเวลาในช่วงชีวิตของท่านสุนทรภู่ โดยมีการเทียบเคียงกับเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ในโลกและในสยามประเทศ ณ ขณะนั้น ทำให้เห็นถึงสภาพสังคม วัฒนธรรม และแนวคิดต่าง ๆ ที่ท่านถ่ายทอดลงมาในงานวรรณกรรม
ซึ่งผลงานของท่านก็เป็นที่โด่งดังและเป็นแรงบันดาลใจให้มีการทำซ้ำ ดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นแอนิเมชั่น หรือแม้แต่การ์ตูนมังงะ ที่ไม่ได้ตีพิมพ์ในไทยเท่านั้น แต่ยังมีการพิมพ์จำหน่ายในต่างประเทศด้วยค่ะ
ห้องถัดมา คือห้อง “มณีปัญญา” ซึ่งเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับอัจฉริยภาพทางวรรณศิลป์ของสุนทรภู่ ที่มีความโดดเด่นตรงการใช้ศัพท์ที่ชัดเจน เข้าใจง่าย แต่มีความคล้องจองไพเราะลงฉันทลักษณ์ ซึ่งที่นี่เราจะได้ต่อกลอนของท่านสุนทรภู่กันด้วยค่ะ
ภาพบนเป็นสมุดไทยจำลอง ซึ่งเป็นจุดที่เราจะไปถ่ายรูปกันได้ โดยวางมือเหนือสมุดไทยนี้ แล้วกล้องของทางวัดจะถ่ายให้เห็นภาพ AR ของหน้าบันพระอุโบสถที่เป็นรูปหงส์คู่ปรากฏขึ้นเหนือมือของเราค่ะ ที่กุฏิแห่งนี้เป็นที่ที่ภิกษุภู่ได้ประพันธ์เรื่อง รำพันพิลาป ขึ้นหลังจากที่ฝันเป็นลางว่าใกล้ครบอายุขัยแล้ว โดยพรรณนาถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัดเทพธิดารามแห่งนี้
ถัดมามีการจัดแสดงบางส่วนของผลงานวรรณกรรมของท่านที่สะท้อนสภาพชีวิตของชาวไทยในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยการจัดแสดงที่ให้ผู้ชมได้ดึง ได้เปิดออกอ่าน เพิ่มความเพลิดเพลินในการเรียนรู้
ซึ่งผลงานของท่านได้ถ่ายทอดเรื่องราวทั้งทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการค้าขายภายในประเทศ การใช้ชีวิต ซึ่งชาวไทยมีความเคารพรักและผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแน่นแฟ้น และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ รวมถึงเรียนรู้วิทยาการใหม่ ๆ อย่างเปิดกว้าง เช่น การผ่าตัดครั้งแรก ๆ เกิดขึ้นในยุคนั้น ท่านก็นำมาใส่ในเรื่องพระอภัยมณี ให้นางสุวรรณมาลีได้รับการรักษาโดยวิธีผ่าตัดด้วย
ส่วนเรือนห้องที่ 3 “ใต้ร่มกาสาวพัสตร์” เป็นส่วนจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นวัตถุโบราณเรียบร้อยแล้วนะคะ ไม่ว่าจะเป็นตู้พระธรรมลงรักปิดทอง หินบดยา ฯลฯ
รวมถึงเตียง ปิ่นโต ชามกระเบื้อง ซึ่งร่วมสมัยกันด้วย
ชมเสร็จแล้ว ถ่ายรูปกันเสร็จแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์จะมีแบบสอบถามให้กรอกข้อมูลพร้อมอีเมล หรือ Facebook หรือ Line เพื่อส่งรูปถ่ายให้ค่ะ และเราสามารถร่วมสนับสนุนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้ด้วยการบริจาคเงินตามกำลังค่ะ ใครที่เช่าชุดมาถ่ายรูปเสร็จแล้วก็เข้าไปเปลี่ยนชุดคืนได้ที่ห้องน้ำ ซึ่งดูแลอย่างดี สะอาดมาก ๆ เลยค่ะ
ก่อนออกจากบริเวณหมู่กุฏิแห่งนี้ ก็หันไปมองเห็นอย่างภาพล่างตรงที่ลูกศรชี้เป็นต้นชา สอดคล้องกับที่ท่านเขียนถึงในเรื่อง รำพันพิลาป ซึ่งเป็นงานเขียนชิ้นสุดท้ายก่อนลาสิกขาบทว่า “...เห็นต้นชาหน้ากระไดใจเสียดาย เคยแก้อายหลายครั้งประทังทน...”
เดินมาตรงใกล้ ๆ ทางออกจะเจอหอไตร ซึ่งเป็นหอไตรเครื่องก่อ คือก่ออิฐถือปูน ต่างจากวัดส่วนใหญ่ซึ่งนิยมสร้างหอไตรเครื่องไม้ ซึ่งเมื่อ พ.ศ. 2555 UNESCO ได้มอบรางวัลด้านการอนุรักษ์ดีเด่นให้กับโครงการอนุรักษ์หอพระไตรปิฎกวัดเทพธิดาราม แม้ปัจจุบันไม่ได้เปิดให้เดินขึ้นไปชมหอไตร แต่ก็สามารถชมบรรยากาศด้านในผ่านระบบภาพ 360 องศาแบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ของทางวัดค่ะ
นอกจากนี้ ในวันสุนทรภู่ 26 มิถุนายน 2562 นี้ ทางวัดจัด การประกวดแต่งกายย้อนยุคเลียนแบบตัวละครเรื่องพระอภัยมณี ด้วยนะคะ หากใครมีเวลาก็แวะไปร่วมกิจกรรมกันได้เลยค่ะ