แล้วเราจะมีวิธีการอย่างไร ที่จะสื่อสารกับลูกได้อย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และไม่ต้องทะเลาะหรือขัดใจกัน วันนี้แม่แหม่มมีวีธีการสื่อสารง่าย ๆ กับลูกมาฝากกันค่ะ
การถาม คือ การแสดงถึงความเอาใจใส่ และแสดงให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่มีความสนใจในสิ่งที่ลูกพูดมากน้อยแค่ไหน คำถามที่พ่อแม่ใช้ควรเป็นคำถามปลายเปิดที่ไม่มีการตั้งข้อสงสัย หรือกำหนดคำตอบไว้ในใจ เวลาถามพ่อแม่ควรดูด้วยว่าในขณะที่ลูกเล่านั้น ลูกมีอารมณ์อย่างไร ควรเลือกถามลูกตอนที่ลูกมีอารมณ์ปกติ และพร้อมที่จะตอบคำถาม ถ้าลูกพร้อมพ่อแม่จะได้รับข้อมูลที่ชัดเจน และสามารถช่วยให้ข้อเสนอแนะกับลูกได้ พ่อแม่ควรหาเวลาว่างในแต่ละวันคุยกับลูก เช่น ในขณะที่กำลังนั่งรถกลับบ้าน หรือกำลังทานข้าว ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาทองของครอบครัวที่พ่อแม่ลูกควรมีเวลาให้กัน
ในการรับฟังสิ่งต่าง ๆ ที่ลูกเล่านั้น พ่อแม่ควรรับฟังอย่างใส่ใจ คำว่า ใส่ใจ นี้ หมายถึง การรับฟังโดยการเอาใจที่เต็มไปด้วยความรัก เข้าไปใส่เพื่อพร้อมจะรับฟังและเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของลูก ไม่ใช่ใส่ใจเพื่อจับผิด เพราะการที่พ่อแม่จะสื่อสารกับลูกได้ดีนั้น ความเข้าใจเป็นสิ่งสำคัญ การฟังลูกจึงไม่ใช่แค่การจับใจความว่าลูกพูดถึงเรื่องอะไร แต่ควรเข้าใจถึงอารมณ์และบริบทของสถานการณ์ที่ลูกเจอด้วย เพราะในบางครั้งการที่พ่อแม่ฟังเพียงแค่เนื้อหา คือคำพูด โดยขาดความเข้าใจ ก็มีโอกาสที่จะแสดงความคิดบางอย่างออกไปแล้วกระทบใจลูก ลูกอาจจะรู้สึกแย่ รู้สึกโกรธ รู้สึกว่าทำไมพ่อแม่ถึงไม่เข้าใจ ดังนั้นจงเปิดหูและเปิดหัวใจเพื่อรับรู้ความรู้สึกของลูก และเมื่อลูกรู้สึกว่าพ่อแม่มีความเข้าใจในตัวเขา เขาก็จะกล้าเล่าเรื่องราวต่าง ๆ และพร้อมที่จะเปิดใจรับฟังคำแนะนำจากพ่อแม่มากขึ้น
บางครั้งการรับฟังปัญหาของลูก พ่อแม่อาจต้องเปิดโอกาสให้ลูกได้วิเคราะห์หรือคิดทบทวนด้วยตนเองก่อนว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นลูกคิดกับมันอย่างไร เพราะการเปิดโอกาสให้ลูกได้อธิบายเรื่องราวต่าง ๆ เปรียบเสมือนการฝึกให้ลูกได้ทบทวน และไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า จริง ๆ แล้วสิ่งนั้นมีความสำคัญกับชีวิตมากพอที่จะทำให้ลูกต้องเครียด หรือเป็นปัญหาในชีวิตหรือไม่ ที่สำคัญการฝึกให้ลูกไตร่ตรองกับปัญหาและวิเคราะห์ถึงวิธีแก้ไขปัญหาด้วยตนเองก่อน จะเป็นการช่วยฝึกให้ลูกเกิดทักษะการแก้ปัญหา ช่วยพัฒนาให้ลูกมีความสามารถในการใช้เหตุผลเพิ่มขึ้นด้วย
เพราะลูกกำลังอยู่ในวัยที่เรียนรู้ และพยายามทำความเข้าใจในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ดังนั้นพ่อแม่ที่อยากให้กระบวนการเรียนรู้ของลูกได้ทำงานอย่างเต็มที่ จึงควรเรียนรู้ที่จะเป็นผู้เฝ้าดู และให้คำแนะนำกับลูก มากกว่าเป็นผู้ออกคำสั่ง พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้ลูกได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง มากกว่าครอบงำลูกด้วยความคิดส่วนตัว เพราะเด็กที่ได้รับโอกาสในการคิด ย่อมมีความพร้อมที่จะออกไปเผชิญชีวิตมากกว่าเด็กที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกรอบ และขาดโอกาสที่จะเผชิญปัญหาด้วยตนเอง
สุภาพรรณ ศรีสุข (ครูแหม่ม)
ที่ปรึกษาวิชาการ โรงเรียนศิลปพัฒนาการสมองเด็ก K.D.S.