ไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคร้ายที่คุมคามสุขภาพของทั้งผู้ใหญ่และเด็ก จากรายงานสถานการณ์โรคไข้หวัดใหญ่ของประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 7 พฤษภาคม 2562 ที่ผ่านมา พบว่าปีนี้มีการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่แล้วกว่า 152,185 ราย และมีผู้เสียชีวิตถึง 10 ราย ภายในสี่เดือนแรกของปีนี้ จึงเป็นสาเหตุให้โรคไข้หวัดใหญ่ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังประจำปี 2562 ซึ่งกลุ่มที่มีภาวะเสี่ยงที่สุดคือกลุ่มเด็กเล็ก (เด็กที่มีอายุระหว่าง 7 - 9 ปี คิดเป็น 13.71 เปอร์เซ็นต์)
โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ซึ่งถูกแบ่งออกเป็น 4 สายพันธุ์ คือ A, B, C และ D โดยสายพันธุ์ A และ B เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ซึ่งประเทศไทยมีแนวโน้มพบการระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลของสายพันธุ์ B มากกว่าสายพันธุ์ A โดยสายพันธุ์ B จะไม่รุนแรงเท่าสายพันธุ์ A และไม่สามารถติดต่อระหว่างคนกับสัตว์ได้
เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ จะแพร่กระจายได้ดีในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว เพราะอากาศที่เย็นและชื้นทำให้เชื้ออยู่ได้นานขึ้น จึงแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กที่มักเล่นของเล่น หรือเล่นกลางแจ้งแล้วไม่ได้ล้างมือ อาจทำให้ได้รับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายโดยไม่รู้ตัว และติดต่อไปยังเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้โดยง่าย
1. มีไข้สูงติดกัน 3-4 วัน อาจมีอาการหนาวสั่นสะท้านร่วมด้วย
2. ไอ เจ็บคอ หายใจไม่สะดวก
3. ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดเมื่อยตามข้อพับ
4. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
5. เบื่ออาหาร
หากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกมีอาการเบื้องต้นเหล่านี้ ให้รีบพาไปโรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอเจาะเลือดตรวจ เพราะไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถตรวจเจอได้จากการเจาะเลือดเท่านั้น และหากคุณพ่อคุณแม่ชะล่าใจ ไม่พาลูกไปรับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้ลูกเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ อาทิ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ ฯลฯ ได้อีกด้วย
1. ไปรับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปี เพราะเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สามารถกลายพันธุ์ได้ตามธรรมชาติ
2. ล้างมือทุกครั้งหลังกลับถึงบ้าน
3. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น อาทิ แก้วน้ำ หลอด ช้อนส้อม
4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นผักผลไม้ เพื่อเพิ่มสารอาหารและภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
5. รับประทานอาหารปรุงสุก และใช้ช้อนกลางเสมอ
6. หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด หรือหากเลี่ยงไม่ได้ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้ง