ต้องขออธิบายก่อนว่าเสียงนั้นเป็นคลื่นชนิดหนึ่ง เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุทำให้เกิดเป็นการอัดตัวและขยายตัวของคลื่น แล้วเดินทางผ่านตัวกลางต่าง ๆ เช่น อากาศ น้ำ แท่งเหล็ก โดยคลื่นเสียงที่ได้ยินจากการเกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า เกิดจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของแก๊สในอากาศ เนื่องจากได้รับความร้อนขณะเกิดการแลกเปลี่ยนประจุไฟฟ้านั้นเอง เพราะฉะนั้นเสียงที่ถูกจัดว่าเป็นคลื่นก็ต้องมีคุณสมบัติเหมือนกับคลื่นทุกประการ ได้แก่ การสะท้อน การแทรกสอด การหักเห และการเลี้ยวเบน
ทั้งนี้ ปรากฏการณ์ที่เราไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหลังจากเกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่านั้น เกิดจากสมบัติการหักเหของคลื่นเสียง โดยเสียงที่ต้องเดินทางผ่านตัวกลางหนึ่งไปอีกตัวกลางหนึ่งจะมีรอยต่อของตัวกลางทั้งสองชนิด การเดินทางผ่านอีกตัวกลางหนึ่งนี้เองทำให้เกิดการเปลี่ยนทิศทางของคลื่น (คลื่นเกิดการหักเห) ส่งผลให้อัตราเร็วและความยาวของคลื่นเสียงเปลี่ยนไป แต่ความถี่ของคลื่นยังคงที่ ถ้ามุมหักเหมากกว่า 90 องศา ทิศทางการเคลื่อนที่จะหักเหกลับเข้าสู่ตัวกลางเดิม นั่นคือเกิดการสะท้อนกลับหมดของคลื่นเสียง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดเสียงฟ้าร้องขึ้นแต่อากาศใกล้พื้นดินมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศที่อยู่ด้านบน จึงเปรียบเสมือนคลื่นเดินทางผ่านตัวกลาง 2 ชนิด (เนื่องจากอุณหภูมิที่แตกต่างกันส่งผลให้อากาศมีความหนาแน่นที่แตกต่างกันด้วย) โดยคลื่นเสียงจะเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่สูงกว่า คลื่นเสียงจึงเบนขึ้นทีละน้อยหรือเกิดการหักเหขึ้นจนคลื่นเสียงเคลื่อนที่ข้ามผ่านศีรษะของเราไป และถ้าเราอยู่ไกลจากแหล่งกำเนิดฟ้าร้อง คลื่นเสียงที่เดินทางมาอาจเกิดการหักเหขึ้นทีละน้อยจากหลักการที่กล่าวไปข้างต้น ทำให้เราไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องนั้นเอง หลักการนี้จึงใช้อธิบายได้ว่า ทำไมเราจึงไม่ได้ยินเสียงฟ้าร้องหลังจากเกิดฟ้าแลบหรือฟ้าผ่า