เนื่องจากรูปเยอะสักนิดจึงต้องขอแตกเป็น 2 ส่วนนะคะ
ส่วนแรก: อาสนวิหารอัสสัมชัญ, ตึกเก่าของบริษัท อีสต์ เอเชียติก, TCDC , มื้อเที่ยงแสนอร่อยที่ Vatel Thailand - International Hospitality School (จัดเต็มอิ่มแน่ค่ะ)
ส่วนหลัง: Street Art ซ.เจริญกรุง 32 และ 30, Warehouse 30, บ้านขุนราชพิมาน (บ้านเลขที่ 1), วัดแม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์), ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย
*เนื่องจากเราไปเยือนศาสนสถานด้วย ทุกท่านอย่าลืมแต่งกายและถ่ายรูปกันอย่างสุภาพนะคะ (ไม่มีบริการเช่าผ้านุ่งผ้าคลุม ขอเพียงไม่เปิดไหล่เปิดเข่าเปิดพุงก็ใช้ได้แล้วค่ะ)
เริ่มภาคบ่ายกันที่ ซอยเจริญกรุง 32 มี Street Art เก๋ ๆ มากมาย จากงานเทศกาลเมืองศิลปะ “บุกรุก” (BUKRUK Urban Arts Festival) ตั้งแต่ พ.ศ. 2559 ให้ชมและถ่ายรูปกันได้ค่ะ มีทั้งที่เป็นผลงานของศิลปินชาวไทยและชาวต่างประเทศเลยค่ะ
ต่อด้วย Warehouse 30 (เปิด 11.00 - 20.30 น.) อีกหนึ่ง Community Mall สุดเท่จากโกดังเก่าในวันวาน ก่อตั้งโดย คุณดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกและนักออกแบบโครงการ The Jam Factory ย่านคลองสานนั่นเอง
ภายในโกดัง 1-3 เป็นโซน co-working space และ gallery แสดงงานต่าง ๆ โกดัง 4 เป็นร้านเสื้อผ้า แฟชั่น ส่วนโกดัง 5 มีร้านอาหารและคาเฟ่ ในขณะที่โกดัง 6-8 เป็นตลาดนัดแหล่งช็อปสินค้าโฮมเมดและสินค้าออร์แกนิก
ถ้าเดินเข้าไปในสุดของโกดัง 7 จะมีโรงฉายหนังสารคดีจากทีม The Documentary Club ซึ่งเลือกนั่งได้ตามใจชอบ ราคา 100 บาทหมดทุกที่นั่งเลยค่ะ
ออกมาก็เดินต่อไปทาง สถานทูตโปรตุเกส ซอยเจริญกรุง 30 จะเห็นภาพสตรีทอาร์ทของศิลปินชาวโปรตุเกส
ถัดมาอีกเล็กน้อยที่ฝั่งตรงข้าม คือ บ้านขุนราชพิมาน (บ้านเลขที่ 1) ถนนเจริญกรุง เป็นบ้านสไตล์นีโอคลาสสิกของขุนราชพิมาน บุตรชายของพระยาพิทักษ์ภูบาล ทหารรักษาพระองค์ สมัย ร.5 แต่ไม่ใช่บ้านกัปตันบุช (พระวิสูตรสาครดิฐ) นักเดินเรือชาวอังกฤษที่เป็นอธิบดีกรมเจ้าท่าสมัย ร.5 ซึ่งพักอยู่แถวนี้เหมือนกัน เพียงแต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าหลังใดเท่านั้นเอง ปัจจุบันบ้านขุนราชพิมานได้รับการปรับปรุงให้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงรับรองในรูปแบบต่าง ๆ
เดินต่อมาอีกไม่ไกลก็จะถึง วัดแม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์) วัดคาทอลิกที่เก่าแก่ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยคริสตังไทยเชื้อสายโปรตุเกสและญวนที่หนีตายมาในคราวกรุงแตก ได้รับพระราชทานที่ดินบริเวณนี้จาก ร.1 เดิมชื่อวัด “กาลหว่าร์” มาจาก “กัลวารีโอ” ชื่อเนินเขาที่พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน ต่อมาสมัย ร.3 มีการรื้อโบสถ์หลังแรกที่ทรุดโทรมลง สร้างหลังที่ 2 ขึ้น แล้วตั้งชื่อวัดใหม่ว่า “วัดแม่พระลูกประคำ” ในสมัย ร.5 ก็รื้อโบสถ์หลังที่ 2 ที่ชำรุดลง แล้วสร้างหลังปัจจุบันที่มีความงดงามโดดเด่น เป็นแบบนีโอโกธิค คือ มียอดแหลมสูงต่างจากอาสนวิหารอัสสัมชัญที่เป็นแบบเรอแนซ็องส์ แม้จะสร้างในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็ตาม
ระหว่างวัน ในขณะที่ไม่มีพิธีมิสซา หากโบสถ์เปิดอยู่ก็สามารถเข้าชมภายใน ซึ่งประดับประดาด้วยกระจกสีงดงาม บอกเล่าเรื่องราวทางศาสนา และมีประติมากรรมปูนปั้นรูปนักบุญต่าง ๆ ได้นะคะ นอกจากนี้ที่วัดยังมีวัตถุโบราณล้ำค่า ซึ่งตกทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา 2 ชิ้น ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี และจะนำออกมาให้ชมเฉพาะในโอกาสสำคัญ คือ รูปแม่พระลูกประคำ (ใช้แห่ในวันฉลองวัด 1 ต.ค.) และรูปพระศพของพระเยซูเจ้า (ใช้แห่ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์) เท่านั้นด้วยค่ะ
เนื่องในโอกาสที่โบสถ์หลังปัจจุบันมีอายุครบ 120 ปี เมื่อ พ.ศ. 2560 และมีสภาพทรุดโทรมลงตามกาลเวลา ประกอบกับทางวัดได้รับความอนุเคราะห์ทางด้านวิชาการและบุคลากรจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาแนวทางการอนุรักษ์และปรับปรุงโบสถ์หลังนี้ ภายใต้กรอบแนวคิดการอนุรักษ์แบบสากล UNESCO Asia-Pacific Awards for Cultural Heritage Conservation เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการรวบรวมทุนในการบูรณะซ่อมแซม นักท่องเที่ยวก็สามารถร่วมสมทบทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ซองที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าโบสถ์ แล้วเอาไปส่งให้เจ้าหน้าที่ในตึกสำนักงานวัดได้ด้วยค่ะ
ถัดมาใกล้ ๆ วัดคือ ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย หรือ “บุคคลัภย์” ซึ่งต่อมาพัฒนาขึ้นเป็น “บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด” ในสมัย ร.5 ธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของคนไทย ก่อตั้งโดย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติมาก่อน และกราบบังคมทูลลาออก เพื่อให้ธนาคารสามารถจดทะเบียนเป็นเอกชนได้เช่นเดียวกับเจ้าของธนาคารพาณิชย์ต่างชาติรายอื่น ๆ ในสมัยนั้น
อาคาร 3 ชั้น ทอดยาวขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ป้ายบอกว่าเป็นแบบ “บาโรก” แต่ก็มีผู้นิยมในงานสถาปัตยกรรมบอกว่าเป็นแบบผสมผสานที่มีกลิ่นอายของสไตล์ “โบซาร์” และ “นีโอคลาสสิก” คือมีความผสมผสานกันของแบบกรีก โรมัน และเรอแนซ็องส์ด้วย ภายในยังมีการให้บริการลูกค้าตามปกติ
ที่ลานริมน้ำด้านหน้า มีต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับธนาคารแห่งนี้มานาน แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงา และมีศาลาเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ท่าน้ำ สวยงามน่ารักน่ามาถ่ายรูปมาก ๆ เลยค่ะ
ขอแนะนำให้มาในเวลาทำการของธนาคารคือ วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-15.30 น. เท่านั้นนะคะ ไม่อย่างนั้นจะถ่ายรูปได้เฉพาะด้านหลัง (โซนติดถนน) ค่ะ
สำหรับใครที่พลาดชมส่วนแรก กดย้อนกลับไปชมได้ที่นี่เลยค่ะ