ขอต้อนรับสู่ส่วนที่ 2 การรับประทานอาหารเที่ยงและเดินทางต่อในช่วงบ่ายค่ะ
เนื้อหาออกจะยาวสักหน่อยจึงต้องขอแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
ส่วนแรก : วัดไตรมิตร ศูนย์ประวัติศาสตร์เยาวราช นิทรรศการพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร พระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุด และ ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ ประตูสู่ไชน่าทาวน์เมืองไทย
ส่วนหลัง : อิ่มอร่อยกับ Street food เจ้าดัง เจ๊เบญผัดงี่เง่า โรงพยาบาลเทียนฟ้า และ ‘ล้ง 1919’ ย่านการค้า จุดถ่ายรูปสุดเท่ที่เคยเป็นท่าเรือกลไฟในอดีต
เมื่อชมซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติฯ อันเปรียบเสมือนประตูสู่ไชน่าทาวน์เสร็จก็เชิญทุกท่านข้ามถนนจากฝั่งเจริญกรุงมายังฝั่งตรีมิตร รับประทานอาหารเที่ยงริมทางกับ Street Food เจ้าดัง เจ๊เบญผัดงี่เง่า ร้านอยู่บนท้ายรถกระบะ มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งข้างทาง ได้โล่รางวัลระดับ 5 ดาวจาก wongnai.com ด้วยนะคะ
นอกจากก๋วยเตี๋ยวผัดงี่เง่าจานเด็ดของร้าน ซึ่งมีที่มาจากความเลือกกินของหลานชายของเจ๊เบญที่อยากกินก๋วยเตี๋ยวผัด แต่นี่ก็ไม่เอา นั่นก็ไม่กิน เจ๊ก็เลยจัดให้ออกมาเป็นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัดไข่ ใส่กุ้งสด หมูเด้งซึ่งหมักได้นุ่มออกหวาน ๆ เค็ม ๆ (นึกถึงหมูปิ้งนมสดแต่นุ่มกว่า) มีผักกาดแก้วกรอบ ๆ แล้วก็กระเทียมเจียวนิดหน่อยหอมดี จะว่าผัดซีอิ๊วก็ไม่ใช่ ก๋วยเตี๋ยวคั่วก็ไม่เชิง แต่สรุปแล้วอร่อยไม่เบาเลยแล้วกัน ยิ่งรับประทานกับน้ำจิ้มเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ นี่ยิ่งเด็ดสะระตี่ ถ้าให้ดีก็ดื่มน้ำหล่อฮังก้วยเย็น ๆ ซึ่งเป็นสมุนไพรจีนแก้ร้อนในดับกระหายด้วยอีกแก้ว รสชาติคล้าย ๆ จับเลี้ยง ไม่ค่อยหวาน และไม่ขม ชุ่มคอดีด้วยค่ะ
รับประทานอาหารกลางวันกันแล้วก็เดินมาที่ โรงพยาบาลเทียนฟ้า ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่พ่อค้าชาวจีนกลุ่มหนึ่งร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไม่เลือกชั้นวรรณะ เชื้อชาติ ศาสนา
ด้านหน้ามีศาลเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งภายในมีรูปปั้นไม้แกะสลักลงรักปิดทองของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร (กวมอิม) ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชาวจีนคนหนึ่งได้ให้ข้อมูลกับทางมูลนิธิว่า เมื่อนำไปเทียบกับภาพจิตรกรรมที่พบในเมืองตุนหวง มณฑลกานซู่ สาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นศิลปะสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเป็นยุคแห่งความรุ่งเรืองของจีนเมื่อย้อนกลับไปนับพันปี
จากจุดนี้จะไปต่อที่ “ล้ง 1919” มีทางเลือก 2 ทางคือ เดินผ่านถนนเยาวราช ที่ ร. 5 ทรงพระเมตตาให้ตัดถนนแบบให้ถนนโค้งหลบบ้านคนแทน ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องย้ายที่อยู่ จึงชออกมาโค้ง ๆ เป็นถนนมังกรอย่างทุกวันนี้ เส้นทางนี้มีระยะทางราว 1.5 กม. ให้ได้ชม ชิม ช็อป เก็บบรรยากาศร้านอาหารดัง ๆ แผงลอยต่าง ๆ ตลาดเก่า ไปจรดแยกราชวงศ์ เลี้ยวซ้ายผ่านสำเพ็งแหล่งกิฟต์ช็อปอันดับต้น ๆ ของไทยไปจนสุดทางลงเรือข้ามฟากจากท่าราชวงศ์ไปท่าดินแดง ค่าเรือ 3.50 บาท แล้วเดินสัมผัสบรรยากาศชุมชนไปอีกราว 1 กม. ออกมาทางวัดทองธรรมชาติ ก็จะถึงล้ง 1919
หากเมื่อยแล้วไม่อยากผ่านตลาดก็ตัดกลับมาที่ถนนตรีมิตรย่านเซียงกงแหล่งค้าผลิตภัณฑ์โลหะต่างๆ ลงมาจนบรรจบกับถนนทรงวาด เลี้ยวขวาผ่านวัดปทุมคงคา แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยทรงเสริมเดินตรงลงมาจะเจอท่าเรือสวัสดี-วัดทองธรรมชาติ ค่าเรือ 5 บาท ข้ามไปปุ๊บก็เดินตัดเข้าทางท่าน้ำของล้ง 1919 ได้เลย รวมระยะทางประมาณ 1 กม.
ล้ง 1919 ตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เคยเป็น “ฮวย จุ่ง ล้ง”(火船廊)ซึ่งก็คือ “ท่าเรือกลไฟ” นั่นเอง ท่าเรือและอาคารสำนักงานและโกดังต่าง ๆ ในบริเวณนี้เป็นของตระกูลหวั่งหลี ตระกูลนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน โดยนายตันฉื่อฮ้วง ผู้เป็นต้นตระกูลได้เข้ามาตั้งรกรากในประเทศไทยตั้งแต่ต้นสมัยรัชกาลที่ 5 (ค.ศ. 1871) โดยทำธุรกิจค้าข้าว โรงสี โพยก๊วน (บริการรับฝากส่งเงินตราพร้อมจดหมายไปยังประเทศจีน) ธนาคาร ประกันภัย ฯลฯ
ปัจจุบันทายาทรุ่นที่ 5 ได้ร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูให้กลายเป็นย่านการค้าและสถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
หมู่อาคารหลัก 3 หลังเชื่อมกันในลักษณะตัวรูปตัว U แบบซาน เหอ ย่วน เปิดโล่งตรงกลางอย่างจีนโบราณ ตามคติโหราศาสตร์จีนที่ว่าฟ้าและดินเชื่อมต่อกัน ตัวอาคารก่ออิฐฉาบปูนหลังคามุงกระเบื้อง พื้น ระเบียง ประตู หน้าต่างทำจากไม้สัก โดยอาคารหลังกลางเป็นศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว (妈祖) เทพีแห่งท้องทะเล ผู้เป็นที่เคารพสักการะในหมู่คนเดินเรือและชาวจีนโพ้นทะเล
กลางลานด้านหน้าศาลเจ้าแม่หม่าโจ้วจะเป็นที่ให้จุดธูปบูชา ชั้นล่างด้านในมีที่อธิษฐานขอพรและเสี่ยงเซียมซีเบื้องหน้าภาพของเจ้าแม่หม่าโจ้ว ส่วนด้านบนเป็นที่ประดิษฐานรูปไม้แกะสลักเจ้าแม่ 3 องค์ ซึ่งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกเริ่มโดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใดหรืออัญเชิญมาเมื่อใด ได้แก่
จุ้ยบ๋วยเนี้ย (水泥圣娘) – เด็กสาวผู้หยั่งรู้ดินฟ้าอากาศ ช่วยเหลือและรักษาผู้ป่วย
ไห่ตั้งหม่า (海神妈祖) – เจ้าแม่หม่าโจ้วแห่งท้องทะเล ผู้ประทานพรแห่งความสำเร็จและความมั่งมีศรีสุข
เทียนโหวเซี่ยบ้อ (天后圣母) – เจ้าแม่แห่งสรวงสวรรค์ ผู้เมตตาต่อสรรพสัตว์
นอกจากนี้ในชั้นบนยังมีการจัดแสดงห้องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นห้องหนังสือ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ฯลฯ อย่างในสมัยก่อน และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังศิลปะจีนโบราณอีกด้วย ในการบูรณะซ่อมแซมจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้จะไม่มีการต่อเติมส่วนที่หายไป แต่จะรักษาส่วนที่ยังคงอยู่ให้คงอยู่ได้นานที่สุดตามหลักเกณฑ์การอนุรักษ์งานจิตรกรรม และไฮไลท์ของที่นี่อยู่ที่ภาพนกซึ่งสมเด็จพระเทพฯ ทรงช่วยซ่อมแซมและทรงลงพระนามาภิไธยไว้เพื่อเป็นประวัติศาสตร์
ห้องน้ำที่นี่ติดแอร์และสะอาดมาก ๆ อยู่ในซอยเล็ก ๆ ระหว่างโซนร้านอาหารกับโซนอาร์ตและศาลเจ้า มีห้องน้ำสำหรับผู้ใช้รถเข็นด้วย สุดซอยเป็นรั้วบ้านหวั่งหลีซึ่งสามารถมองผ่านรั้วออกไปเห็นอยู่ไกล ๆ
มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปมากมาย
งานศิลป์สะท้อนอารยธรรมจีนอันเป็นเอกลักษณ์
หากเดินออกมาทางลานเล็ก ๆ ระหว่างตึกกับลานจอดรถจะเจอสวนที่มีภาพเขียนบนกำแพงเก๋ ๆ ต้นหลิวใบพริ้วบรรยากาศดีน่าถ่ายรูปมาก ๆ เลยค่ะ ที่นี่เป็นจุดที่สามารถพาสัตว์เลี้ยงแสนรักมาเดินเล่นได้ด้วยนะคะ ท้ายสวนมีโซนขับถ่ายสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งเมื่อเรียบร้อยแล้วต้องขอความร่วมมือเจ้าของเก็บธุระของน้องด้วยเพื่อความสะอาด และผู้มาทีหลังได้ใช้งานได้อย่างสบายใจ
หากหิวแล้วก็สามารถรับประทานอาหารเย็นได้ที่ร้านอาหารโซนใกล้ ๆ โกดังเก่าริมน้ำได้
ส่วนการเดินทางกลับก็มีหลายวิธี หากไม่กลับทางรถ หรือรถเมล์ ก็สามารถกลับทางเรือได้ นอกจากเรือข้ามฟากท่าวัดทองธรรมชาติ-สวัสดี ราคา 5 บาทแล้ว ก็ยังมีเรือด่วนเจ้าพระยาธงฟ้าที่ขึ้นไปลงท่าสาทรเชื่อมต่อกับ BTS ได้อย่างสะดวกสบายค่ะ
สำหรับใครที่พลาดพาเที่ยวภาค 1 ไป กดที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ วันเดียวเที่ยว 2 ฝั่ง เยาวราช+ล้ง วัฒนธรรมไทย-จีน (1)