ซึ่งผลิตภัณฑ์ของครีมกันแดดจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ ครีมกันแดดทาหน้า และ ครีมกันแดดทาตัว เหตุผลที่ต้องมีครีมกันแดดเฉพาะของผิวหน้าและผิวตัว ก็เนื่องจากผิวหน้านั้นจะมีทั้งความมันบนใบหน้าที่เยอะกว่า และบอบบางกว่าผิวหนังของเรา ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย จึงต้องใช้วัถดิบในการผลิตที่ต่างกัน
นอกจากการเลือกใช้ครีมกันแดดแล้วการทาครีมก็สำคัญ หากทาครีมผิด ๆ ก็อาจจะไม่ได้รับประโยชน์เต็มที่จากครีมกันแดด เรามาดูกันค่ะว่าการทาครีมกันแดดทาหน้าแบบไหนที่เราไม่ควรทำตาม
บางคนกลัวหน้ามัน หรือกลัวเป็นคราบ จึงทาครีมกันแดดน้อย ๆ ขอบอกว่าผิดอย่างแรงค่ะ การทาครีมกันแดดบนใบหน้าควรบีบครีมกันแดดออกมาให้เท่ากับ 1 เหรียญห้าบาทนะคะถึงจะดี
เพราะการทาครีมกันแดดใช่ว่าทาครั้งเดียวแล้วจบนะคะ แต่เราต้องพยายามทาซ้ำเรื่อย ๆ ค่ะ เพราะว่าครีมกันแดดไม่สามารถปกป้องผิวเราได้ตลอดทั้งวัน ไม่ว่าคุณจะทาไว้หนาแค่ไหนก็ตาม ระยะเวลาที่เราจะรู้ว่าครีมกันแดดเราอยู่ได้นานแค่ไหน ให้ดูที่ค่า SPF กับเวลาที่ผิวเราเริ่มแดงเวลาโดนแดดค่ะ
ต่อให้ครีมกันแดดไม่หมดอายุ แต่ครีมก็จะเสื่อมสภาพลงไปได้เรื่อย ๆ ค่ะ
แสงแดดมีสารพัดรังสี ตั้งแต่ UVA UVB ฯลฯ ดังนั้น เลือกครีมกันแดดที่มีการป้องกันแบบครอบคลุมจะดีที่สุดนะคะ
ทุกวันนี้เราคงเห็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมครีมกันแดดกันแทบทุกตัวเลย รวมถึงมอยส์เจอร์ไรเซอร์ด้วย แต่จริง ๆ แล้ว แค่ครีมกันแดดที่อยู่ในนั้นยังไม่เพียงพอ เพื่อให้สามารถปกป้องผิวจากแสงแดดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ควรทาครีมกันแดดตัวจริงทับลงไปด้วย
เราควรใช้แยกกันค่ะ บริเวณผิวหน้าก็ควรใช้ครีมกันแดดทาหน้า ส่วนผิวตัวก็ควรใช้ครีมกันแดดเฉพาะผิวตัว เพราะว่าผิวหน้ากับผิวตัวมีความแตกต่างกัน
เราควรทาครีมกันแดดให้ทั่วผิว รวมถึงส่วนที่อยู่ใต้ร่มผ้าด้วย
เราคิดว่าทาครีมกันแดดครบทุดจุดทั่วร่างกายแล้ว แต่จริงๆ เราอาจหลงลืมไปก็ได้ เช่น ทุกวันนี้คุณทาครีมที่ใบหู มือ เท้า หรือขาพับบ้างหรือเปล่าคะ ถ้าขาดส่วนใดส่วนหนึ่งที่กล่าวมาตามนี้ ก็หมายความว่าคุณยังทาครีมกันแดดยังไม่ครบทุกจุดค่ะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สีผิวดูไม่สม่ำเสมอกัน
ต่อให้เป็นวันที่ไม่ค่อยมีแดด ฟ้าครึ้ม หรือฝนตก ก็ห้ามไว้วางใจแสง UV เด็ดขาดค่ะ เพราะต่อให้แดดไม่แรงจ้า แสง UV ก็ยังซ่อนตัวอยู่ตามบรรยากาศเสมอ เพื่อปกป้องผิวไม่ให้คล้ำเสีย