รู้ความยากของข้อสอบ ถ้าให้ไล่ระดับความยากของข้อสอบภาษาอังกฤษ พี่ว่า O-Net เป็นข้อสอบที่กลาง ๆ ที่สุด ส่วน GAT จะยากขึ้นมานิดหนึ่ง และ 9 วิชาสามัญ ถือเป็นข้อสอบที่ยากมาก แต่ถ้าเราเตรียมตัวพร้อม พี่ว่าเราน่าจะได้คะแนนมากขึ้น ซึ่งข้อสอบ 3 ตัวนี้แทบจะวัดทุกอย่างที่น้องเรียนกันมาเลย คือ วัดการฟัง การพูด การอ่าน การเขียน แต่ถ้าลองมองจริง ๆ ตอนที่เราอยู่ในห้องสอบ ต่อให้เป็นพาร์ทของการวัดการฟังและการพูด แต่ในห้องสอบเราไม่ได้ต้องฟังหรือพูดออกไป นั่นหมายความว่าแทบจะทุกข้อสอบของเมืองไทยที่จะเน้นวัดการอ่านเป็นหลัก
ตั้งเป้าหมาย ถามตัวเองก่อนว่า เป้าหมายในการสอบคืออะไร เพราะเราจะได้รู้ว่าต้องพยายามมากน้อยแค่ไหน และต้องการคะแนนแต่ละวิชาเท่าไหร่ เช่น อยากจะเข้านิเทศ จุฬาฯ ต้องใช้คะแนนอะไรบ้าง เป็นต้น ถ้าเรามีเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนก็อาจจะทำให้หลงทางได้ สมมติว่าเรามีเป้าหมายแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ ‘การฟัง’ การฟังถือเป็นกุญแจที่จะทำให้ภาษาอังกฤษดีขึ้น ลองฝึกการฟังจากการดูหนังที่ชอบก็จะช่วยพัฒนาสกิลนี้ให้เก่งได้เร็วขึ้น
ฝึกทำข้อสอบย้อนหลัง การทำข้อสอบย้อนหลังอย่านั่งทำแบบชิลล์ ๆ พี่ขอแนะนำว่าต้องจับเวลาแล้วทำไปด้วย เพื่อจะได้รู้ว่าเราจะทำเสร็จทันเวลาไหม พอทำเสร็จแล้วก็ต้องมาดูว่าพาร์ทไหนเป็นจุดแข็งจุดอ่อนของเรา ลองหาข้อสอบเก่าสัก 5-7 ปี มาทำดู ข้อดีคือหากเราเจอคำศัพท์คำนี้ซ้ำ ๆ 3-4 ครั้ง ก็จะเริ่มจำได้แล้วว่าแปลว่าอะไร คำนี้น่าจะออกสอบค่อนข้างบ่อยนะ แล้วข้อดีอีกอย่างคือ มันทำให้เราชินกับแนวทางที่มันจะเกิดขึ้นในแต่ละข้อสอบ
อยากบอกเด็ก ๆ ทุกคนว่า good luck & work hard การจะสอบติดไม่ใช่เรื่องง่ายและไม่เคยเป็นเรื่องง่าย ครูและติวเตอร์ทุกคนมีหน้าที่ช่วยให้ความรู้เพื่อให้เราพร้อม ช่วยให้กำลังใจเรา แต่สุดท้ายแล้ว นี่คือการต่อสู้ของเรา ไม่มีครู ติวเตอร์ หรือใครจะมาสู้แทนเราได้ ตั้งเป้าให้ชัด มีวินัย ฝึกฝน และทำให้มันเต็มที่ พี่เชื่อว่าหากเราเตรียมตัวเต็มที่ ทำเต็มที่ ยังไงมันก็จะสำเร็จแน่นอน
เรื่องโดย คณาธิป สุนทรรักษ์ (พี่ลูกกอล์ฟ)
- ปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- ปริญญาโท East 15 Acting School, University of Essex, London
- ครูสอนภาษาอังกฤษและผู้อำนวยการสถานบัน ANGKRIZ English Academy