ดนตรีนั้นคือชีวิต จังหวะคอยลิขิตให้ชีวิตก้าวไป แสงสีที่สวยสดใส นั้นเป็นจิตใจที่สดใสเสรี หลายๆ คนคงเคยคุ้นหูกับเพลงนี้ใช่ไหมละคะ ก็เพราะเนื้อหาของเพลงชั่งตรงกับชีวิตจริงของใครหลายคน แน่นอนคะสำหรับคนรักดนตรีแล้วย่อมชอบเครื่องฟังเพลงอยู่แล้วโดยเฉพาะพวกชุดเครื่องเสียงและแน่นอนคะ ว่าชุดเครื่องเสียงหัวใจหลักก็คือลำโพง ใช่ไหมละคะ ยิ่งลำโพงดีๆ มีคุณภาพเวลาฟังเสียงลำโพงมีทั้งเสียง สูง ทุ้มจะหนักหรือเบาก็น่าฟังไปหมด มันจึงเป็นที่มาที่ทำให้เราไปหาข้อ
มูลเกี่ยวกับการเลือกซื้อลำโพงประกอบชุดเครื่องเสียง มาดูกันว่าเราเลือกจากอะไรบ้าง
การเลือกซื้อลำโพงเข้าชุดเครื่องเสียง
1. Sensitivity (ความไว)
เป็นค่าที่บอกประสิทธิภาพของลำโพง โดยเป็นค่าความดัง เทียบกับวัตต์ และระยะห่างจากลำโพง มีหน่วยเป็นเดซิเบล
ต่อมิลลิวัตต์ต่อเมตร แต่อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการพิจารณาค่าความไวของแต่ละลำโพงแล้ว ควรพิจารณากำลังขับสูงสุดที่ลำโพงสามารถรับได้ด้วย เพราะลำโพงบางรุ่นความไวสูง แต่รองรับกำลังขับสูงสุดต่ำ จะเหมาะกับเครื่องเล่นที่มีกำลังขับต่ำ ไม่สามารถรองรับภาคขยายกำลังสูงได้ แต่ในขณะเดียวกัน ลำโพงที่มีค่าความไวต่ำ แต่รองรับกำลังขับสูงสุดสูง ก็จะสามารถรองรับเครื่องเล่นที่มีภาคขยายกำลังสูงได้ แต่จะไม่เหมาะกับเครื่องเล่นที่มีกำลังขับต่ำ มันจะไม่ดังได้ดั่งใจ
2. Input Impedance (ความต้านทาน)
ลำโพงจะมีความต้านทานแปรตามความถึ่ แต่ตามสเปคจะเรียกตาม "nominal impedance" ซึ่งมีความต้านทานโดยทั่วไปที่ 4, 6, 8, 16 โอห์ม ยิ่งความต้านทานน้อย ยิ่งต้องใช้กระแสมากเพื่อให้ได้วัตต์สูงหรือเสียงที่ดังชัด ดังนั้นการใช้ ลำโพงแบบ 4 โอห์ม จึงต้องใช้พาวเวอร์แอมป์ช่วย เพื่อเพิ่มเสียงให้ดังขึ้น มากกว่าลำโพงแบบ 8 โอห์ม แต่ทั้งนี้ค่าความต้านทานไม่ได้สัมพันธ์กับเรื่องคุณภาพของเสียงแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีการใช้ลำโพงแบบ 4 โอห์ม ควรระมัดระวังในการต่อเข้ากับชุดขยาย เนื่องจากหากต่อลำโพงแบบ 4 โอห์มใน รูปแบบขนานกันเข้ากับชุดขยายจะได้โหลดขนาด 2 โอห์ม ซึ่งมีค่าใกล้เคียงกับ "Short Circuit" อาจส่งผลให้ชุดขยายของคุณพังได้
3. Power rating (กำลังขับ)
หน่วยของการวัดกำลังขับลำโพง แบ่งออกเป็นสองหน่วยคือ PMPO (Peak Mornentary Performance Output)จะเป็นหน่วยที่วัดค่าสูงสุดที่ลำโพงสามารถรับได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปค่าดังกล่าวนี้จะค่อนข้างสูงส่วนอีกหน่วยคือ RMS(Route Mean Square) เป็นค่ากำลังขับของลำโพงโดยเฉลี่ย ซึ่งจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าและมีค่าค่อนข้างต่ำกว่าสำหรับลำโพงที่มีกำลังขับสูง สามารถรองรับกำลังขับจากภาคขยายได้สูง จะมีราคาแพง และต้องการกำลังขับในระดับทั่วไปที่ค่อนข้างสูง จึงจะได้เสียงที่ตามประสิทธิภาพของลำโพง แต่สำหรับลำโพงกำลังขับต่ำ รองรับกำลังขยายได้ต่ำ เมื่อนำมาใช้งานกับภาคขยายที่สูงกว่ามาก อาจทำให้ลำโพงพังได้
4. Frequency Response (การตอบสนองความถี่)
ความถี่ของเสียงที่มนุษย์ทั่วไปสามารถได้ยินอยู่ในช่วง 20 - 20kHz โดยความถี่สูงหรือเสียงสูงจะมีลักษณะเสียงแหลม ในขณะที่ความถี่ต่ำหรือเสียงต่ำจะมีลักษณะเสียทุ้ม
5. ขนาดและน้ำหนักของลำโพง
เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะหากคุณไม่ได้ต้องการลำโพงแบบพกพาที่น้ำหนักเบา รูปร่างเล็กเป็นหลักแล้ว โดยทั่วไป ลำโพงที่ มีขนาดใหญ่และหนักจะดีกว่า โดยเฉพาะเกี่ยวกับลำโพงที่เน้นเบส หรือจำพวกซับนั้น ลำโพงที่ใหญ่จะให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า
เป็นไงบ้างคะกับข้อมูลที่เราหามาหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านทุกท่านนะคะ หากรายละเอียดไม่ครบถ้วนเราต้องของอภัยด้วยนะคะ ท่านสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชุดเครื่องเสียงได้เอง ในหลายช่องทางคะ เช่นพวก facebook,Internet ตาม blog ในเว็บต่างๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจในการเลือกซื้อนะคะ