ในเด็กเล็กวัยเข้าโรงเรียนที่ภูมิต้านทานยังไม่แข็งแรง โดยเฉพาะอายุน้อยกว่า 4 ปี มักเอาสิ่งของใกล้ตัวต่าง ๆ เช่น ของเล่น หรือมือที่ไม่สะอาดเข้าปาก หรือบางครั้งอาจรับเชื้อโรคโดยตรงจากคนอื่นที่ป่วยแล้วไอจามไม่ปิดปาก จึงมีอาการเจ็บคอทอลซินอักเสบบ่อย
ขึ้นอยู่กับการได้รับเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ ซึ่งพบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 70-80 เป็นไวรัส อาการจึงมักคล้ายเป็นไข้หวัด น้ำมูก คัดจมูก เจ็บคอ ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดศีรษะ บางคนอาจมีไข้ต่ำๆถึงไข้สูงจนชักได้ สำหรับสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียมีส่วนน้อยและมักเป็นในเด็กโต อาการ มักมีไข้สูงฉับพลันเจ็บคอมากตรวจพบจุดเลือดออกที่คอหรือคราบหนองที่ทอนซิล มีต่อมน้ำเหลืองที่คอโตกดเจ็บและมักไม่ไอ
1. อ่อนเพลีย : เด็กที่เริ่มมีไข้จะรู้สึกอ่อนเพลีย หมดแรง จนอาจร้องไห้โยเย และร้องกวนทั้งวันทั้งคืน
2. เบื่ออาหาร : นอกจากไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวแล้ว เด็กยังรู้สึกเบื่ออาหาร บางคนอาจกินอาหารไม่ลงเพราะกลืนอาหารหรือน้ำลำบาก
3. อาเจียน ปวดท้อง : ในเด็กบางคนที่เริ่มมีอาการรุนแรงจะอาเจียน ปวดท้อง และมีอาการท้องเดินร่วมด้วย
หลังจากแพทย์ตรวจวินิจฉัยโรคแล้ว คุณพ่อคุณแม่ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างครบถ้วน ถ้าเป็นเชื้อไวรัสส่วนใหญ่รักษาตามอาการ ถ้าเป็นแบคทีเรียข้อสำคัญคือควรให้ลูกกินยาปฏิชีวนะอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง 10 วัน แม้อาการจะทุเลาลงแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคแทรกซ้อน และให้ต่อมทอนซิลหายเป็นปกติ
หากลูกมีไข้สูงและครั่นเนื้อครั่นตัว คุณพ่อคุณแม่ควรหมั่นเช็ดตัวลูกเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกายลง และป้องกันไม่ให้เด็กชัก
การที่ร่างกายจะฟื้นฟูตัวเองได้เต็มที่ จำเป็นต้องอาศัยพลังงานจำนวนมาก หากลูกยังไม่อยากกินอาหาร หรือกินไม่ลง ควรเริ่มจากอาหารอ่อน ๆ อาทิ โจ๊ก หรือข้าวต้ม และควรให้ลูกจิบน้ำบ่อย ๆ โดยเฉพาะน้ำหวาน
คุณพ่อคุณแม่ควรจัดเตียงและบรรยากาศห้องนอนให้เอื้อต่อการนอนหลับพักผ่อนของลูกให้มากที่สุด หากลูกพักผ่อนไม่เพียงพอ อาจส่งผลให้เด็กยิ่งอ่อนแรงมากขึ้นได้
เมื่อพบว่าลูกเป็นต่อมทอนซิลอักเสบ คุณพ่อคุณแม่ควรเร่งดูแลความสะอาดภายในบ้าน รวมทั้งข้าวของต่าง ๆ เป็นอันดับแรก เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อโรคหรือแบคทีเรียอื่น ๆ เข้าสู่ร่างกายของลูกอีก พร้อมกันนั้นก็สอนเรื่องสุขอนามัยแก่ลูก และสอนให้ลูกดูแลความสะอาดของตัวเอง