"ฟ้าผ่า" เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อเกิดเมฆพายุฝนฟ้าคะนอง โดยอนุภาคของเม็ดฝนและผลึกน้ำแข็งในเมฆที่เคลื่อนไปมาในอากาศจะเกิดการชนหรือเสียดสีกัน เกิดเป็นไฟฟ้าสถิตขึ้นในเมฆ ลักษณะของการเกิดไฟฟ้าสถิตนี้คล้ายกับการที่เราถูผิวลูกโป่งแล้วเกิดเป็นไฟฟ้าสถิตบนผิวลูกโป่งนั่นเอง
เมื่อเกิดไฟฟ้าสถิตขึ้นในเมฆ เมฆเหล่านี้จึงประกอบไปด้วยประจุบวกและประจุลบ โดยประจุบวกเคลื่อนที่ขึ้นไปอยู่ด้านบนหรือยอดเมฆ ส่วนประะจุลบจะเคลื่อนที่ลงมาอยู่ด้านล่างหรือฐานเมฆ เมื่อด้านล่างมีประจุลบสะสมเป็นจำนวนมากพอ เมฆก็จะปลดปล่อยพลังงานหรือคายประจุลบออกมา ขณะเดียวกันพื้นดินที่มีประจุบวกจะดึงดูดประจุลบที่ปลดปล่อยมาจากเมฆ เพื่อรักษาสภาพสมดุล ทำให้พลังงานถูกส่งลงสู่พื้นดิน เกิดเป็นปรากฏการณ์ฟ้าผ่าที่เราเห็นได้ทั่วไปเมื่อมีพายุฝนฟ้าคะนอง นอกจากนี้พลังงานยังสามารถถูกปลดปล่อยจากเมฆก้อนหนึ่งไปสู่เมฆอีกก้อนหนึ่งได้โดยหลักการเดียวกันอีกด้วย
เนื่องจากฟ้าผ่าเป็นการถ่ายทอดพลังงานสูง จึงเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของมนุษย์ได้ ดังนั้น จึงมีผู้ที่พยายามคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่จะช่วยบรรเทาหรือลดความรุนแรงของฟ้าผ่า หรือที่เราเรียกกันว่า "สายล่อฟ้า" ขึ้นมา บุคคลผู้นั้นก็คือ เบนจามิน แฟรงคลิน (Benjamin Franklin)
เบนจามินคือชายคนหนึ่งที่มีความพยายามจะไล่จับสายฟ้า เขาเชื่อว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างฟ้าผ่ากับกระแสไฟฟ้า เช่น สี ทิศทาง เสียง ซึ่งต่อมาเขาได้คิดวิธีป้องกันอันตรายจากปรากฏการณ์ฟ้าผ่านี้ขึ้นมา โดยเขาสังเกตเห็นว่าเหล็กแหลมนำกระแสไฟฟ้าและสูญเสียประจุได้เร็วกว่าแบบโลหะทรงกลม และมันทำให้เขาคิดว่าฟ้าผ่าสามารถป้องกันได้โดยการใช้เหล็กแหลมแท่งยาวเชื่อมต่อกับโลกทำเป็นสายล่อฟ้า ประจุที่ส่งลงมาจะเดินทางผ่านสายล่อฟ้าลงสู่พื้นดิน
แท่งโลหะที่นำมาใช้ทำสายล่อฟ้า โดยทั่วไปมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร และเชื่อมต่อกับลวดทองแดงหรืออะลูมิเนียมลงสู่พื้นดิน ซึ่งหลักการของมันจริง ๆ ก็คือ การทำตัวเป็นเส้นทางที่มีความต้านทานต่ำเพื่อให้สายฟ้าที่มีพลังงานมหาศาลถ่ายเทประจุผ่านสายล่อฟ้าลงสู่พื้นดิน เพื่อไม่ให้ไปทำความเสียหายหรืออันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน