ดังนั้น ความจำจะเป็นแค่สิ่งที่ลูกบันทึกข้อมูลไว้ตามเรื่องราวที่ได้เห็น แต่ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกทำหรือเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญที่สุด คือ การที่พ่อแม่ลงมือปฏิบัติสิ่งนั้น ๆ ให้ลูกได้เห็นเป็นแบบอย่างนั่นเอง วันนี้แม่แหม่มจึงมีเทคนิคง่าย ๆ ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถนำไปใช้ในการสอนให้ลูกเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่มากกว่าแค่ “การท่องจำ” แต่เป็นการเรียนรู้ที่เกิดจาก “ความเข้าใจ” มาฝากกันค่ะ
การเรียนรู้ที่มีความสุขจะช่วยสร้างแรงบันดาลใจและส่งเสริมให้กระบวนการทำงานของสมองมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อการทำงานของสมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะส่งผลให้ลูกเกิดกระบวนการเรียนรู้ต่อเรื่องนั้น ๆ ได้ดียิ่งขึ้น นอกจากการทำกิจกรรมร่วมกันจะเป็นผลดีต่อกระบวนการเรียนรู้ของลูกแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับคนในครอบครัวอีกด้วย
เพราะกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือ การได้ลงมือทำ และเรียนรู้จากสิ่งที่ตนเองได้ทดลอง รวมทั้งค้นหาคำตอบด้วยตนเอง ดังนั้นในบางครั้งพ่อแม่อาจจะต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ลูกอาจจะทำอะไรผิดพลาดหรือไม่ถูกใจพ่อแม่ไปบ้าง พ่อแม่จงให้อภัย ให้คำแนะนำ และคอยเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับลูก เพื่อให้ลูกได้เดินข้ามผ่านปัญหาและค้นพบคำตอบของสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
การสอนให้ลูกเกิดความเข้าใจในเรื่องบางเรื่อง บางครั้งพ่อแม่อาจจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะต้องเข้าใจว่าเงื่อนไขการเรียนรู้ของลูกกับเรื่องบางเรื่องนั้นมีจำกัด บางทีพ่อแม่อาจจะอยากให้ลูก 3 ขวบ จำและอ่านท่อง ก-ฮ ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เด็กวัย 3 ขวบ สมองน้อย ๆ ลูกอาจจะยังไม่เข้าใจว่า ตัวอักษร ก-ฮ นี้คืออะไร เขาจะมองตัวอักษรนี้เป็นแค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่ง ลูกยังจำเป็นต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับสัญลักษณ์ภาพเหล่านี้สักระยะ ถึงจะแยกแยะได้ว่า สัญลักษณ์เหล่านี้ก็คือตัวอักษณ ก-ฮ นั่นเอง
เพราะสมองน้อย ๆ ของลูกมีการพัฒนาตลอดเวลา ดังนั้นการที่พ่อแม่ต้องการให้ลูกเกิดกระบวนการเรียนรู้และความเข้าใจต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น พ่อแม่จำเป็นต้องฝึกให้ลูกได้เรียนรู้และลงมือทำเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพราะการได้ทำซ้ำ ย้ำ ทวน จะช่วยทำให้ลูกเกิดความเข้าใจเรื่องนั้น ๆ ได้อย่างแม่นยำ และสามารถนำไปใช้ต่อยอดในการเรียนรู้เรื่องที่มีความเชื่อมโยงกันต่อไปได้
ในฐานะพ่อแม่ เรามีหน้าที่เลี้ยงดูและคอยแนะนำสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง ให้กับลูก เพื่อให้ลูกสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ด้วยความมั่นคง พ่อแม่ไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามหรือบังคับให้ลูกต้องปฏิบัติ หรือทำตามความคิดของตัวพ่อแม่เอง แต่ควรปล่อยให้ลูกได้เรียนรู้และค้นหาในสิ่งที่เขาชอบด้วยตนเอง เพราะการที่พ่อแม่ห้ามหรือปฏิเสธลูกบ่อยครั้ง จะส่งผลให้ลูกไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ เพราะถูกพ่อแม่ตีกรอบความคิดไว้หมดแล้ว ทำให้ลูกเป็นคนเฉื่อยชา ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตทั้งการเรียนและการทำงานในอนาคต
สุภาพรรณ ศรีสุข (ครูแหม่ม)
ที่ปรึกษาวิชาการ โรงเรียนศิลปพัฒนาการสมองเด็ก K.D.S.