อะตอมที่ปล่อยให้อิเล็กตรอนหลุดออกไปได้ง่าย และรับอิเล็กตรอนจากอะตอมอื่นเข้ามาโคจรรอบนิวเคลียสได้ง่าย มักเป็นอะตอมของโลหะ และนั่นทำให้โลหะส่วนใหญ่เป็นตัวนำไฟฟ้า (Conductor) ส่วนอะตอมที่ไม่มีอิเล็กตรอนเหลือที่จะส่งต่อไปโคจรรอบอะตอมอื่นได้ มักเป็นอะตอมของธาตุหรือวัตถุที่มีความเสถียรระดับหนึ่ง มีการจับคู่กันของอะตอมและโมเลกุลเหนียวแน่นมาก ซึ่งทำให้วัตถุนั้นไม่สามารถนำกระแสไฟฟ้าได้ หรือเรียกว่าเป็นฉนวนไฟฟ้า ได้แก่ แก้ว ยาง พลาสติก และการรู้จักวัตถุสองรูปแบบนี้ทำให้เราได้มาซึ่งสายไฟฟ้า
สายไฟฟ้ามีโลหะอยู่ภายในเพื่อให้สามารถนำไฟฟ้าจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งได้ และมีฉนวนซึ่งทำจากยางหรือพลาสติกห่อหุ้มเพื่อให้อิเล็กตรอนไม่หลุดออกไปภายนอก รวมถึงไม่เป็นอันตรายต่อคนเราหากต้องสัมผัสกับสายไฟฟ้าเหล่านี้
หากเราพิจารณาเพียงแค่วงจรไฟฟ้า จากแหล่งกำเนิดไฟผ่านสายไฟฟ้า ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้า ในการทำให้วงจรไฟฟ้าครบวงจรได้จะต้องมีสายไฟสองสาย สายหนึ่งนำกระแสไฟฟ้าเข้า และอีกสายนำกระแสไฟฟ้าออกจากอุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อต่อเข้ากับแหล่งไฟฟ้าอีกครั้ง สายไฟฟ้าปกติจึงมาเป็นคู่อยู่เสมอ และหากสังเกตที่เต้าเสียบตัวผู้และตัวเมีย พวกมันต่างก็มีสองก้านและสองรู ตามลำดับ อย่างไรก็ดี เต้าเสียบบางชนิดมี 3 ก้าน และ 3 รู โดยรูที่สามมีไว้เพื่อต่อเข้ากับสายดิน (Grounding หรือ Electrical Grounding) และถ้าเรามองก้านที่สามที่เพิ่มขึ้นมาของเต้าเสียบตัวผู้ มันอาจจะเป็นเพียงแท่งกลวงๆ
สายดินเริ่มต้นจากความต้องการที่จะทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้ามีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ ในแง่การป้องกันกระแสไฟฟ้ารั่วไหล อุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนใหญ่มักมีโลหะเป็นส่วนประกอบ เพื่อความแข็งแรง เป็นต้น ดังนั้น หากอุปกรณ์ทั้งหลายจะเป็นโลหะซึ่งมีความสามารถในการนำไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าซึ่งควรจะอยู่และถูกใช้ในอุปกรณ์นั้นอย่างเดียว ก็ไม่ควรจะรั่วไหลออกมาจากวงจรไฟฟ้า แต่มันกลับเป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดอุบัติเหตุ และทำให้โครงสร้างโลหะของอุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างตู้เย็นหรือแม้แต่โทรทัศน์ได้รับกระแสไฟฟ้าไปด้วย และเมื่อเราสัมผัสมันก็จะได้รับกระแสไฟฟ้า หรือถูกไฟดูด แต่การติดตั้งสายดิน เรียกว่า Grounding หรือ Earthing เป็นการเบี่ยงเบนเส้นทางของกระแสไฟฟ้าลงไปสู่พื้นดินก่อนที่เราจะได้รับอันตราย