แม่แหม่มเดินทางไปถึงเชียงใหม่ในช่วงบ่าย ๆ ที่แรกที่เราจะแวะไปเที่ยวกัน ก็คือ “บ้านข้างวัด” ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้มอลล์สไตล์พื้นเมือง ตั้งอยู่ในซอยวัดอุโมงค์ จากแนวความคิดที่ต้องการสร้างชุมชนที่มีวิถีชีวิต มีปฏิสัมพันธ์ของคนในชุมชน คล้ายกับการอยู่ร่วมกันของผู้คนในสมัยก่อน ภายใต้การออกแบบที่อยู่อาศัยที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ อิงบรรยากาศแบบสมัยเก่า ผสมกับความร่วมสมัยในปัจจุบัน จึงก่อให้เกิดชุมชน “บ้านข้างวัด” ซึ่งมีทั้งร้านกาแฟและร้านอาหารที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีพื้นที่ส่วนกลางเป็นลานทำกิจกรรมกลางแจ้ง ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมทุ กๆ เย็นวันเสาร์ – อาทิตย์ หรือตามโอกาสพิเศษต่าง ๆ
ต่อไปเราก็จะพาแสบน้อยไปเที่ยวที่ “เชียงใหม่ ไนท์ ซาฟารี” ซึ่งไม่ไปไม่ได้ค่ะ เพราะสัญญากับแสบน้อยว่าจะพานางมาเที่ยวสวนสัตว์ ซึ่งนางก็ถามตลอดว่า “ถึงสวนสัตว์รึยัง ๆ” มาตลอดทางตั้งแต่กรุงเทพฯ จนถึงเชียงใหม่
“เชียงใหม่ ไนท์ ซาฟารี” เป็นสวนสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีสัตว์กว่า 1400 ตัว จาก 134 สายพันธุ์ โดยเปิดทุกวันตั้งแต่ 11.00 – 22.00 น. ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่เหี๊ยะ ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง และตำบลหนองควาย อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ นับรวมพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 819 ไร่ และห่างจากใจกลางเมืองเชียงใหม่เพียง ประมาณ 10 กิโลเมตร เท่านั้น เป็นสวนสัตว์ที่มีการแบ่งโซนของการเข้าชมออกเป็น 3 โซน คือ
Jaguar Trail Zone (เดินชมสัตว์) เปิดตั้งแต่เวลา 11.00 น. – 21.30 น.
Day Safari (นั่งรถชมสัตว์กลางวัน) เปิดตั้งแต่เวลา 15.00 น. – 16.30 น.
Night Safari (นั่งรถชมสัตว์กลางคืน) เปิดตั้งแต่เวลา 18.30 น. - 22.00 น.
ในส่วนของการจัดแสดงนั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ก็คือ ในส่วนของ Savanna Safari และในส่วนของ Predator Prowl ซึ่งทั้ง 2 ส่วนจะใช้เวลาในการเข้าชมประมาณ 30 นาที การมาเที่ยวที่นี่ถือเป็นการมาเที่ยวสวนสัตว์ตอนกลางคืนครั้งแรกของแสบน้อย เพราะปกติจะเที่ยวแต่สวนสัตว์ในตอนกลางวัน ระหว่างทางแสบน้อยจะถามตลอดว่า “moon มาแล้ว สัตว์หลับยัง” ซึ่งแม่แหม่มก็ต้องอธิบายให้ลูกฟังว่า สัตว์ป่าส่วนมากเขาจะตื่นตอนกลางคืนนะลูก เพราะเป็นเวลาหากินของพวกเขา ซึ่งก็ถือเป็นความรู้ใหม่สำหรับลูกว่าสัตว์ป่ากับสัตว์บ้านที่เขาเห็นในชีวิตประจำวัน มีการดำรงชีวิตที่แตกต่างกัน
โดยทางสวนสัตว์จะมีรถนำเข้าชมในส่วนต่าง ๆ ซึ่งระหว่างทางเข้าในโซนการแสดงสัตว์จะค่อนข้างมืด (เด็กที่กลัวความมืด คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษนะคะ) และเมื่อมาถึงบริเวณที่จัดแสดงก็จะมีการส่องไฟให้เราเห็นสัตว์ได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะมีทั้งสัตว์ที่อยู่ในโซนที่กั้นไว้ และสัตว์ที่ถูกปล่อยให้อยู่อิสระ ซึ่งเราสามารถให้อาหารและสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด เช่น กวาง ยีราฟ ม้าลาย หมูป่า แต่สำหรับม้าลายและหมูป่าอาจต้องระวังสักนิด เพราะม้าลายจะมีฟันที่คมมาก ส่วนหมูป่าบางตัวก็จะมีเขี้ยวซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้
ตลอดการเข้าชมจะมีเจ้าหน้าที่คอยอธิบายให้ความรู้ตลอดทาง เมื่อจบจากการนั่งรถชมสัตว์ทั้ง 2 โซนแล้ว เราก็สามารถเข้าชมในส่วนของโชว์ต่าง ๆ ได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น การแสดง Dancing Show การแสดงน้ำพุดนตรี การแสดงของเสือโคร่งขาว ซึ่งเราสามารถเลือกเข้าชมการแสดงต่าง ๆ ได้ โดยดูข้อมูลที่ได้มาพร้อมกับบัตรเข้าชม
วันรุ่งขึ้น เราตื่นกันแต่เช้า เพื่อเดินทางไป “แม่กำปอง” หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาในอำเภอแม่ออน ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 1 ชั่วโมง และเนื่องจากหมู่บ้านตั้งอยู่ในหุบเขา ซึ่งมีทางเดินค่อนข้างชัน ดังนั้นวิธีการเดินเที่ยวที่เหมาะสมกับหญิงวัยกลางคนและแม่ลูกอ่อนอย่างแม่แหม่ม ก็คือ เราจะค่อย ๆ ขับรถขึ้นไปจอดในจุดที่สูงที่สุดของหมู่บ้านก่อน (ซึ่งควรจะเป็นรถแบบ 4 WD) เพราะทางขึ้นค่อนข้างชันและคดเคี้ยว แล้วค่อย ๆ เดินลงมาชมในจุดต่าง ๆ ของหมู่บ้าน ซึ่งการเดินตามแรงโน้มถ่วงของโลกย่อมประหยัดพลังงานได้มากกว่า แต่ถ้าครอบครัวไหนไม่สะดวก สามารถจอดรถที่ลานจอดรถก่อนทางขึ้นหมู่บ้าน และนั่งรถรับ – ส่งที่มีให้บริการขึ้นมาเที่ยวที่หมู่บ้านก็ได้ค่ะ
บริเวณหมู่บ้านแม่กำปองนั้นเต็มไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อากาศเย็นสบาย มีลำธารเล็ก ๆ ไหลผ่าน บ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายทอดยาวคดเคี้ยวเป็นทางขึ้นไปบนภูเขา ด้วยความที่มีอากาศเย็นและชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี จึงทำให้หลังคาบ้านแต่ละหลังมีมอสกับเฟิร์นขึ้นอยู่โดยรอบ ซึ่งถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง นอกจากจะเดินชมความสวยงามของบรรยากาศและวิถีชีวิตของชาวบ้านแล้ว 2 ข้างทางยังเต็มไปด้วยร้านอาหารพื้นเมืองและร้านกาแฟ ที่ทุกร้านนอกจากอาหารจะอร่อยแล้ว เรายังได้ของแถมเป็นวิวสวย ๆ จากธรรมชาติที่หาไม่ได้ตามร้านอาหารชื่อดังในเมืองอีกด้วย