เพจจ๊อด 8 ริ้วเป็นเพจที่ผมตั้งเอาไว้ลงพวกภาพล้อเลียนหรือการ์ตูนกับเพื่อนเฉย ๆ ครับ ตอนแรกไม่ได้จะตั้งชื่อว่า Jod 8riew ด้วยนะ แต่ใช้ชื่อว่า OmeagaJod เป็นชื่ออวตารที่ใช้เล่นเกม แต่พอเพจเริ่มมีคนติดตามผมก็อยากได้ชื่อที่มันดูเป็นทางการหน่อย พอดีช่วงนั้นนักเลงกำลังเป็นกระแส เขาจะฮิตตั้งชื่อแล้วตามด้วยถิ่นที่อยู่ เราก็เลยเอาบ้าง เลยได้ชื่อ จ๊อด 8 ริ้ว มาเพราะเราชื่อ จ๊อด และบ้านอยู่ที่ฉะเชิงเทรา เขาเรียกแถวนั้นเรียกว่า 8 ริ้ว
คนเขียนดราก้อนบอล อาจารย์โทะริยะมะ อะกิระครับ เพราะลายเส้นเขาน่ารัก แต่อีกประเด็นที่ทำให้ผมชอบเขามากคือ เขาแอบใส่มุกเล็ก ๆ น้อย ๆ เข้าไปในการ์ตูนตลอด ซึ่งมันเพิ่มความสนุกให้คนอ่าน และมันเป็นมุกที่เข้าใจง่าย อีกอย่างคือ ตอนเด็ก ๆ ผมทำอะไรไม่เก่งสักอย่างครับ เรียนก็ไม่เก่ง เล่นกีฬาก็ไม่ได้ ไม่ค่อยเป็นจุดสนใจของใครเท่าไหร่ จนหันมาวาดรูป เพื่อน ๆ ก็เริ่มมาสนใจผมมากขึ้น
แนะนำให้จริงจังกับเรื่องเล่น ๆ ก่อน เพราะตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอกว่าเส้นทางที่แท้จริงของผมคืออะไร รู้แค่ว่าชอบวาดรูปมาก ผมต้องเรียนด้านศิลปะ โชคดีที่พอไปเรียนแล้วเจอรุ่นพี่ที่เขาชอบการ์ตูนเหมือนกัน ก็เลยไปฝึกวาดกับเขา ทำต้นฉบับส่งสำนักพิมพ์ด้วยกัน ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง แต่มันก็ทำให้รู้ว่าเส้นทางของผมคืออะไร
ส่งผลแค่ช่วงแรก ๆ เพราะอาจารย์ไม่ค่อยสนับสนุนครับ เช่น ถ้าเราบอกเขาว่าอยากวาดการ์ตูน เขาก็จะตอบกลับมาว่าจะขายได้เหรอ เขาอยากให้เด็กไปทางไฟน์อาร์ต ( Fine Arts ) หรือวาดภาพสีน้ำมันมากกว่าวาดการ์ตูน แต่ยุคนี้ไม่น่าจะเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะ เพราะไม่ว่าเด็กอยากทำอะไร อาจารย์ควรสนับสนุนเขาเต็มที่ครับ
ใช่ครับ ด้วยความที่ก่อนหน้านั้นผมทำมาหลายอย่าง ทั้งหนังสั้น แอนิเมชั่นและการ์ตูน มันเลยทำให้ตอนเรียนจบผมค่อนข้างเคว้งคว้าง เพราะทำทุกอย่างแบบจับฉ่าย บวกกับตอนนั้นผมยังวาดรูปห่วยอยู่ เสนอสำนักพิมพ์ไหนไปเขาก็ไม่รับ เลยรู้ว่าพื้นฐานผมยังไม่แน่พอ เลยไปสอบปวส. ใหม่แล้วก็สอบเข้าช่างศิลป
เหมือนในหนังเลยครับ เพราะช่วงที่อยู่ช่างศิลปผมฝึกหนักมาก ปิดห้องมืดแล้วเปิดไฟดวงเดียวนั่งสเก็ตช์หุ่นนิ่ง ฝึกวาดรูปแข่งกับรุ่นพี่ ภายในหนึ่งนาทีต้องวาดให้เสร็จ บางวันนั่งสเก็ตช์ทิวทัศน์ทั้งวัน ซึ่งระหว่างเรียนอยู่รุ่นพี่คนเดิมเขาก็เอาผลงานที่ผมเคยทำแอนิเมชั่นไว้ไปเสนอกับบริษัทต่าง ๆ ผมก็ขอเขาไปทำฟรี ขายทุกอย่างที่มีเลยครับช่วงนั้น เกือบหมดตัวทั้งรับวาดภาพล้อทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไปเช่าหออยู่ที่กรุงเทพฯ สุดท้ายเขาก็รับผมเข้าทำงาน
พอทำแอนิเมชั่นไปสักพัก ผมรู้สึกว่าเริ่มเหนื่อยกับการใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ คือผมไม่ได้รู้สึกมีความสุขขนาดนั้นก็เลยวาดรูปเล่น ซึ่งหัวหน้าเขาก็คงเห็นแหละครับว่าผมแอบวาดรูปเล่น เขาก็เลยยุให้ผมวาดรูปแล้วใส่มุกเข้าไปด้วย จะได้ตลก ๆ จนคนเข้ามาติดตามเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มมีสำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามา ผมก็เลยได้ทำเป็นการ์ตูนเล่มตั้งแต่ตอนนั้น
เหมือนผมพูดแทนเขาได้มั้งครับ คนทั่วไปเวลาเจอเรื่องน่าหงุดหงิด เช่น ขึ้น BTS แล้วเจอคนยืนพิงเสา หรือไม่ยอมลุกให้คนแก่นั่ง ส่วนมากเขาจะตั้งสเตตัสบ่นกัน แต่สำหรับผม ผมก็อยากบ่นนะ แต่ผมพิมพ์ไม่เก่งก็เลยเลือกที่จะสื่อมันออกมาเป็นภาพวาดแล้วใส่มุกตลกเข้าไปแทน เพราะผมถนัดกว่า
ผมอินกับมันมากกว่าแบบอื่นครับ และเรื่องเสียดสีสังคมมันให้ความรู้สึกใกล้ตัวคนอ่านมากกว่าการเล่าเรื่องแบบอื่น ที่สำคัญผมคิดว่าการวาดการ์ตูนเสียดสีสังคมมันเป็นกระบอกเสียงแทนคนในสังคมได้ ทำให้ความรุนแรงของเรื่องซอฟท์ลงเมื่อใส่มุกตลกเข้าไป มันทำให้คำด่าที่เราด่ากันแรง ๆ ซอฟท์ลงทันทีเมื่อมีภาพประกอบฮา ๆ คนอ่านสามารถเอาไปคิดต่อได้เพราะมันไม่ได้มีแค่คำพูด แต่มีภาพประกอบด้วย
การ์ตูนไทยได้รับอิทธิพลมาแทบจะทั้งจีน ญี่ปุ่นและฝรั่งครับ แค่เปลี่ยนไปตามเทรนด์ของแต่ละยุคเท่านั้นเอง อย่างยุคก่อนการ์ตูนฝั่งอเมริกาจะดังมาก ไทยเราก็รับมาเหมือนกัน ช่วงไหนที่การ์ตูนอเมริกาดัง การ์ตูนบ้านเราก็จะมีกล้ามเป็นมัด ๆ แต่พอเทรนด์ญี่ปุ่นเข้ามา การ์ตูนบ้านเราตาก็จะโต ๆ ทรงผมก็จะแหลม ๆ หน่อย แต่เอกลักษณ์มันจะคู่กันไปทั้งลายเส้น การเล่าเรื่องและเนื้อหาเพราะแม้คาแรกเตอร์การ์ตูนจะเหมือนกันหมด แต่เนื้อหาที่ใส่เข้าไปจะไม่เหมือนกันแน่นอน
ผมสร้างคาแรกเตอร์จากปัญหาในสังคมนี่แหละครับ เรื่องที่ผมเล่าส่วนมากมาจากสิ่งที่เจอในชีวิตประจำวัน หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่กำลังอยู่ในกระแส เพราะผมอยากวาดอะไรที่มันบ้าน ๆ เข้าถึงง่าย อย่างคาแรกเตอร์น้องนุ่นก็เอามาจากปัญหาของเด็กมัธยม เพราะเมื่อ 4 ปีที่แล้ว คลิปเด็กมัธยมตบกันมันบูมมากครับ คาแรกเตอร์แก๊งน้องนุ่นก็อิงจากแก๊งเด็กมัธยมตบกันจริง ๆ คือ มีมือตบ มีมือถ่ายคลิปและมีมือยุ ตอนวาดผมก็จะคิดถึงเพื่อนนักเรียนในวัยผม การแต่งตัวเป็นอย่างไรผมก็จะใส่คาแรกเตอร์แบบนั้นลงไป ซึ่งก็จะได้คาแรกเตอร์เด็กนักเรียนหญิงทาหน้าขาว ทาอุทัยทิพย์ ปากแดงแปร๊ด มีผ้าขนหนูพาดบ่า
ผมว่าคนไทยใช้ชีวิตอยู่กับการ์ตูนมานานแล้วนะ แต่เขาแค่ไม่รู้ตัวมากกว่า บางคนคิดว่าการ์ตูนไร้สาระ แต่เขาก็ยังถือของที่มีการ์ตูน ซื้อสินค้าที่มีการ์ตูนเปะอยู่หรือเอาแสตมป์ไปแลกการ์ตูนที่เซเว่น ผมก็ไม่เข้าใจครับ ว่ามันไร้สาระตรงไหน
ถึงแน่นอนครับ เพราะเรื่อง 13 เกมสยอง ยังมีคนซื้อไปทำเวอร์ชัน hollywood เลย นักเขียนการ์ตูนเก่ง ๆ บ้านเราก็มีเยอะแยะแต่ยังไม่มีคนได้อ่านมากนัก แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ผมว่าเราต้องปลูกฝังให้นักอ่านหันมาอ่านการ์ตูนไทยควบคู่กับการ์ตูนฝรั่งด้วย เพราะผมว่าการ์ตูนไทยมันพัฒนาไปได้เรื่อย ๆ ครับ อย่างตอนนี้ก็เริ่มมีซีรีส์ที่มาจากการ์ตูนแล้ว อนาคตอาจได้ทำเป็นหนังใหญ่ก็ได้ ขอให้ลองมาอ่านการ์ตูนไทยกันเยอะ ๆ ครับ
อย่างแรกเลยคือ ต้องมีวินัยครับ ทำตัวให้เสมอต้นเสมอปลาย อย่างมุกในเพจก็ต้องลงทุกวัน หนังสือที่จะลงในสัปดาห์หนังสือก็ต้องเขียนให้ทัน สองคือ มีจรรยาบรรณของนักเขียน เวลาจะเขียนอะไรก็ต้องคิดถึงสังคมด้วย ว่ามันจะมีผลกระทบกับสังคมไปในทางที่ดีไหม
ผมพยายามที่จะสื่อศีลธรรมอันดีงามเข้าไปในงานของผมนะ แต่ผมไม่รู้ว่าคนอ่านจะเก็บไปได้แค่ไหน เพราะมันต้องเอาไปคิดต่อกันเอง ใครคิดตามได้มันก็ดีครับ เพราะบางคนไม่เข้าใจเขาก็ด่า ผมเคยเจอคอมเมนต์ประมาณว่า “จะมาเขียนการ์ตูนให้คนเขาแตกกันอีกทำไม” แบบนี้ก็มีครับ (หัวเราะ)
ผมมองให้มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะมันก็ต้องมีทั้งคนที่ชอบ ชอบมากและไม่ชอบเลย บางคน inbox มาด่าก็มี แต่บางคนก็ดีเหลือเกินครับ อธิบายให้คนอื่นเข้าใจแทนเราเลยก็มี ผมก็อ่านแค่พอประมาณครับ เพราะอ่านมากไม่ได้ ผมเป็นคน sensitive เฟลง่าย ก็เลยเลือกที่จะอ่านผ่าน ๆ เท่านั้นพอ
เรียกว่าเป็นโอกาสให้เราได้ปรับตัวดีกว่าครับ เพราะถึงแม้พฤติกรรมคนอ่านจะเปลี่ยนไป คือเขาจะไม่ค่อยซื้อเล่มทุกเดือนแต่เขาก็จะไปซื้อเมื่อรวมเล่ม นักวาดการ์ตูนเองก็ได้ลงผลงานในเพจไปด้วย ซึ่งมันก็มีข้อดีคือ เราอยากจะหยาบยังไงก็ได้ครับ (หัวเราะ) เพราะไม่ต้องผ่านสำนักพิมพ์ รับสปอนเซอร์เองก็ได้ และการย้ายจากในเล่มมาลงในเพจออนไลน์มันดีต่อนักเขียนหน้าใหม่ที่อยากลงผลงาน เพราะทุกคนบนโลกออนไลน์มีสิทธิ์มีชื่อเสียงเท่ากันหมด ทุกคนพร้อมเป็นแฟนคลับคุณครับ ถ้าผลงานคุณมันดีจริง
ต้องมีความตั้งใจอย่างแรงกล้ามาก ๆ ครับ ต้องฝึกฝนเยอะ ๆ เหมือนที่ผมทำ เจออะไรก็วาดไปเรื่อย ๆ อ่านการ์ตูนเ ดูหนังเยอะ ๆ เพราะการดูหนังเยอะ อ่านเยอะ มันจะทำให้คิดเรื่องที่มันสนุกได้ ขอแค่อย่างทิ้งมันก็พอครับ ถ้าไม่ทิ้งเราก็จะทำออกมาได้เรื่อย ๆ และงานมันก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
วาดรูปไปเรื่อย ๆ ครับ เพราะการวาดรูปมันเป็นชีวิตประจำวันของผมไปแล้ว อย่างไปนั่งรอซื้อก๋วยเตี๋ยวนาน ๆ ผมก็จะเอาสมุดสเก็ตช์มานั่งวาดหน้าแม่ค้ารอ มันเป็นทั้งอาชีพ เป็นเพื่อนตอนผมเหงา เป็นสิ่งที่เชื่อมมิตรภาพระหว่างผมกับคนอ่าน บางครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เวลาที่ผมไปแลกลายเซ็น ผมก็จะรู้สึกเหมือนได้กลับไปตอนที่เพื่อนรุมล้อมผมเวลาที่ผมเขียนการ์ตูนให้เพื่อนอ่าน มันรู้สึกดีจริง ๆ ครับ
"ถ้าอยากจะเป็นนักวาดการ์ตูนต้องฝึกฝนให้เยอะ วาดบ่อย ๆ อ่านการ์ตูน ดูหนังให้เยอะ แล้วจะทำให้คิดเรื่องที่สนุกได้ ที่สำคัญอย่าทิ้งมันไปกลางทาง ถ้าตั้งใจฝึกไปเรื่อย ๆ สุดท้ายงานมันก็จะดีขึ้นเองครับ"
เรื่อง : วัลญา นิ่มนวลศรี
ภาพประกอบ : เอกรินทร์ รัตนมุง