Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

การบำบัดรักษาเด็กออทิสติก

Posted By Plookpedia | 10 มิ.ย. 60
2,256 Views

  Favorite

การบำบัดรักษาเด็กออทิสติก

      เนื่องจากยังไม่สามารถสรุปถึงสาเหตุที่แน่นอนได้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เด็กออทิสติกมีความผิดปกติในหน้าที่ของสมองบางส่วน จึงยังไม่มีวิธีการรักษาที่ทำให้หายขาดได้แต่สามารถทำให้ดีขึ้นได้ หากเด็กออทิสติกได้รับการดูแลบำบัดรักษาอย่างเหมาะสมและต่อเนื่องตั้งแต่ยังมีอายุน้อย ๆ (ระหว่าง ๓ - ๕ ปี) เด็กส่วนหนึ่งจะสามารถเรียนรู้ได้เช่นเดียวกับเด็กปกติทั่วไปจนถึงระดับปริญญา ทำงาน มีคู่ครอง มีความรับผิดชอบและเลี้ยงดูครอบครัวได้ แต่อาจจะคงยังมีปัญหาบางอย่างหลงเหลืออยู่ เช่น การปรับตัวในสังคม ความนึกคิด ความเข้าใจ และการแสดงออกทางอารมณ์ติดตัวไปจนตลอดชีวิต เด็กออทิสติกบางส่วนอาจจะประกอบอาชีพได้โดยมีผู้คอยดูแลแนะนำในกรณีที่มีอาการรุนแรงจนช่วยเหลือตนเองไม่ได้ก็ต้องมีผู้รับผิดชอบช่วยเหลือใกล้ชิดตลอดไป เด็กออทิสติกเป็นคนมีจิตใจบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ไม่รู้ทันคน บกพร่องในเรื่องสามัญสำนึก ปกป้องตัวเองไม่เป็นถ้าเขาโชคดีได้อยู่ในหมู่ของคนดีช่วยสอนให้เรียนรู้แต่ในสิ่งที่ดีเขาก็จะเป็นคนดีได้ ฉะนั้นผู้ที่ให้การช่วยเหลือเขาควรคำนึงถึงคุณสมบัติในข้อนี้ด้วย ส่วนการรักษาและการช่วยเหลือเด็กออทิสติกนั้นต้องใช้เวลาไม่น้อยในการร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกัน ระหว่างพ่อแม่รวมทั้งเครือญาติของเด็กออทิสติกและกลุ่มผู้รักษาซึ่งประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล ครูแก้ไขการพูด ครูการศึกษาพิเศษ เมื่อเด็กเริ่มเรียนรู้ได้บ้างแล้วจึงขอความร่วมมือจากครูอาจารย์เพื่อร่วมฟื้นฟูสมรรถภาพทางการเรียนรู้ในด้านวิชา การต่อไป การให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องจะทำให้ผลการรักษาและการช่วยเหลือประสบความสำเร็จผู้รักษาไม่สามารถกำหนดได้เลยว่าจะต้องใช้ระยะเวลาเท่าไรจึงจะทำให้เด็กออทิสติกดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น การเจ็บป่วยทางกายของเด็ก รูปแบบของการเลี้ยงดู สิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก อายุของเด็กที่เริ่มได้รับการรักษา ความรุนแรงของโรครวมทั้งโครงสร้างและความผิดปกติซ้ำซ้อนของตัวเด็กออทิสติกเองด้วย ควรตระหนักไว้ว่าในระหว่างรับการรักษานั้นเด็กออทิสติกจะมีพฤติกรรมที่ผิดปกติเพิ่มขึ้นเมื่อเด็กอายุมากขึ้นจนเห็นได้อย่างชัดเจนเหมือนข้อชี้บ่งในการวินิจฉัย ฉะนั้นแพทย์ผู้ที่ให้การรักษาจึงต้องเฝ้าระวังและช่วยปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมทุกช่วงอายุของเด็ก การบำบัดรักษาเด็กออทิสติกเป็นการรักษาตามอาการโดยการกระตุ้นพัฒนาการที่ล่าช้าไม่สมวัย การปรับพฤติกรรมและอารมณ์ที่ผิดปกติซึ่งอาจต้องใช้ยาร่วมด้วยและการฝึกสอนด้านการเรียนรู้ซึ่งมีการทำเป็นขั้นตอน ดังนี้

๑. การกระตุ้นพัฒนาการเด็ก

เพื่อนำเด็กออกจากโลกของตนเองสู่สังคมในบ้าน
ก. การกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้งห้า ประกอบด้วย 

  • การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางผิวกายเพื่อให้รับรู้ถึงความใกล้ชิดระหว่างบุคคล ผู้เขียนได้เคยดูงานวิจัยในประเทศมาเลเซียซึ่งผู้วิจัยใช้หนูขาวมาเป็นสัตว์ทดลองจัดแบ่งลูกหนูที่เพิ่งเกิดใหม่ ๆ เป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กัน กลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มทดลองอีกกลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มควบคุม ทุกเช้าผู้วิจัยจะนำหนูในกลุ่มทดลองมาใส่ฝ่ามือทีละตัวแล้วใช้พู่กันที่มีความนุ่มมาก ๆ ลูบไล้ตามตัวหนูพบว่าหนูมีปฏิกิริยาและพฤติกรรมแสดงความพอใจและเติบโตเร็วกว่ากลุ่มควบคุม เมื่อหนูเริ่มเดินได้ผู้วิจัยแบมือในกรงหนูจะแย่งกันขึ้นมาบนมือทันที เมื่อครบกำหนดผู้วิจัยได้นำสมองของหนูทั้ง ๒ กลุ่ม มาตรวจวิเคราะห์ดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษเพื่อตรวจดูเซลล์ของสมองผลปรากฏว่าหนูกลุ่มทดลองที่ได้รับการลูบไล้มีพัฒนาการทางสมองดีกว่ากลุ่มควบคุมมาก ท่านผู้อ่านคงเคยสังเกตสุนัข แมว หรือสัตว์อื่น ๆ ที่มีลูกมันจะลูบไล้ตัวลูกโดยการใช้ลิ้นเลียอยู่เสมอ ลูกที่ถูกเลียมากจะเติบโตและฉลาดกว่าตัวอื่น ๆ อย่างชัดเจน สำหรับเด็กปกตินั้นก็ชอบให้พ่อแม่กอดและลูบไล้ตามตัวเช่นเดียวกัน การเล่นที่มีการสัมผัสทางผิวกายมาก ๆ เช่น การนวดตัว การอุ้ม การกอดรัดฟัดเหวี่ยง การเล่นปูไต่ การเล่นจั๊กจี้ด้วยมือหรือการใช้จมูกหรือคางซุกไซ้ไปตามตัวเด็ก ทั้งหมดนี้จะทำให้บังเกิดความรัก ความอบอุ่น และความมีเยื่อใยซึ่งกันและกันซึ่งในเด็กออทิสติกนั้นจะแยกตัวจากบุคคลโดยสิ้นเชิงจึงควรดึงเขาเข้าหาเราเป็นการสร้างสัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่กับเด็กออทิสติกก่อนโดยการกระตุ้นต้องทำซ้ำ ๆ กันทุกวัน

 

โรคออทิซึม
การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางกายด้วยการเล่นปูไต่
โรคออทิซึม
กิจกรรมการนวดเพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัสทางกาย

 

  • การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางตา เด็กออทิสติกเกือบทุกคนมีปัญหาในการสบตาอย่างมากเนื่องจากมีการสูญเสียทางด้านสังคมและการสื่อความหมาย การกระตุ้นในระยะเริ่มแรกจะเน้นเฉพาะการมองสบตากับบุคคลก่อน
  • การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางหูเพื่อให้ตอบสนองต่อสิ่งเร้าของประสาทหูจะใช้เสียงบุคคลที่ใกล้ชิดกับเด็กโดยให้กระซิบเรียกชื่อเด็กที่ข้างหู ต่อไปอาจใช้เสียงดนตรีช่วยบ้างเพื่อกระตุ้นด้านการเรียนรู้และการสื่อความหมาย

 

โรคออทิซึม
การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางตา
โรคออทิซึม
การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางหู

 

  • การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางจมูกเพื่อให้เด็กได้รับรู้และเรียนรู้ความแตกต่างจากกลิ่นของอาหาร ดอกไม้ และผลไม้ เริ่มจากอาหารที่เด็กชอบรับประทาน เช่น ไข่เจียวและบอกเด็กว่า "หอม - ไข่เจียว" หมูทอดก็บอกเด็กว่า "หอม - หมูทอด" หรือ "หอม - ดอกมะลิ" "หอม - ดอกกุหลาบ"

 

โรคออทิซึม
การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางจมูกโดยการให้เด็กดมสบู่เพื่อรับรู้ความแตกต่างของกลิ่นและบอกเด็กว่า "หอม - สบู่"

 

  • การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางลิ้นเพื่อให้เด็กได้รับรู้และเรียนรู้ความแตกต่างจากรสของอาหารต่าง ๆ ที่เด็กสามารถรับประทานได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ถ้าเด็กกำลังดื่มน้ำหวานจะพูดว่า "หวาน" ถ้ากำลังรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวก็จะพูดว่าเปรี้ยวหรือผู้ฝึกอาจจัดสิ่งที่มีรสแตกต่างกันมาสอนให้เด็กรับรู้ เช่น "น้ำตาล - หวาน" "มะนาว - เปรี้ยว" "เกลือ - เค็ม" โดยให้เด็กชิมทีละอย่าง จนเด็กสามารถบอกถึงรสเองได้

 

โรคออทิซึม
การกระตุ้นประสาทสัมผัสทางลิ้น
โรคออทิซึม
การฝึกให้เด็กเคลื่อนไหวลิ้นเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอนพูด

 

ข. การจับมือเด็กให้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง

      เด็กออทิสติกส่วนมากเมื่อต้องการอะไรจะไม่สามารถชี้บอกถึงความต้องการนั้นได้จึงใช้วิธีจับมือบุคคลที่อยู่ใกล้ไปทำสิ่งนั้นแทน กิจกรรมนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกสอนโดยการ   พยายามจับมือเด็กให้ทำกิจกรรมที่ตัวเองต้องการได้ด้วยตนเองเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้เด็กออทิสติกและช่วยลดปัญหาทางอารมณ์ด้วย

 

โรคออทิซึม
การสอนให้เด็กใช้เท้าเตะลูกบอลโดยการจับเท้าให้ทำ

 

ค. การหันตามเสียงเรียก
      เพื่อฝึกให้เด็กรู้จักชื่อของตนเองตอบสนองต่อเสียงเรียกชื่อเด็กโดยหันตามเสียงเรียกเป็นการกระตุ้นให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านการสื่อความหมายและช่วยให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลได้มากขึ้น

 

โรคออทิซึม
การฝึกให้หันตามเสียงเรียกเพื่อให้เด็กรู้จักชื่อของตนเอง

 

ง. การสอนให้เด็กรู้จักตนเองและบุคคลในครอบครัว
      การสอนให้เด็กได้รับรู้ว่าตัวเองชื่ออะไร คนไหนคือ พ่อ แม่ พี่ น้อง เป็นการสอนให้เด็กได้รับรู้และเข้าใจว่าบุคคลในครอบครัวมีความแตกต่างกัน ผู้เขียนได้รับประสบการณ์จากเด็กออทิสติกหลายคนที่เมื่อเริ่มเรียกผู้เขียนว่า "ป้าหมอ" ได้จะเรียกทุกคนในโรงพยาบาลทั้งหญิงและชายว่า "ป้าหมอ" ทั้งหมดจึงได้ความคิดนี้เมื่อพาเด็กไปเที่ยวฟาร์มจระเข้เด็กรับรู้ว่า "จระเข้" ทุกตัวเหมือนกัน "เสือ" ทุกตัวเหมือนกัน "ลิง" ทุกตัวเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่า "คน" ทุกคนเหมือนกันจึงต้องสอนให้เด็กรับรู้และเรียนรู้ในความแตกต่างของบุคคลตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเพื่อกระตุ้นพัฒนาการทางการสื่อความหมายและสังคมระยะแรกนั่นเอง

 

โรคออทิซึม
การสอนให้เด็กรู้จักตนเอง

 

๒. การฝึกกิจวัตรประจำวัน

  • การสอนให้เด็กรู้จักของใช้ในชีวิตประจำวันก่อนที่จะเริ่มฝึกให้เด็กสามารถเรียนรู้ในเรื่องการช่วยเหลือตัวเองได้  ในกิจวัตรประจำวันนั้นควรให้เด็กได้รู้จักสิ่งของเครื่องใช้ที่ต้องใช้ในกิจกรรมนั้น ๆ ก่อนจนสามารถหยิบจับหรือชี้สิ่งของแต่ละอย่างได้ถูกต้องจึงจะสอนสาธิตวิธีการใช้ในกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป
  • การทำความสะอาดร่างกายควรฝึกให้เด็กสามารถช่วยเหลือตนเองตามขั้นตอนทีละน้อยในการแปรงฟัน การล้างหน้า การอาบน้ำ เด็กออทิสติกทุกคนจะรู้สึกภูมิใจเมื่อสามารถทำได้ด้วยตนเอง

 

โรคออทิซึม
การฝึกให้เด็กรู้จักทำกิจวัตรประจำวัน เช่น ใช้ช้อนตักอาหาร แปรงฟัน
โรคออทิซึม
การฝึกการแต่งกายโดยเริ่มจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ง่าย ๆ ก่อน เช่น เสื้อยืด กางเกงผ้ายืด

 

  • การฝึกการแต่งกายควรใช้เสื้อและกางเกงที่เป็นผ้ายืดซึ่งจะทำให้เด็กทำตามด้วยตนเองได้ง่ายเพื่อเสริมแรงจูงใจให้เด็กเป็นการเตรียมเด็กให้มีความพร้อมที่จะเข้าโรงเรียนต่อไป เด็กออทิสติกส่วนใหญ่สามารถถอดเสื้อและกางเกงได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องฝึกสอนแต่ไม่สามารถสวมใส่เสื้อและกางเกงได้เอง
  • การฝึกใช้ช้อนรับประทานอาหาร เด็กออทิสติกส่วนมากชอบใช้มือหยิบอาหารรับประทานจึงควรสอนให้เด็กสามารถใช้ช้อนตักอาหารรับประทานได้ด้วยตนเองอย่างถูกต้อง
  • การฝึกการขับถ่ายในเด็กปกติมีความพร้อมที่จะรับการฝึกการขับถ่ายได้เมื่ออายุระหว่าง ๒-๓ ปี แต่บางคนอาจจะมีความพร้อมก่อนอายุ ๒ ปี สำหรับเด็กออทิสติกมีความพร้อมที่จะรับการฝึกการขับถ่ายไม่เหมือนเด็กปกติจึงใช้อายุเป็นเกณฑ์ไม่ได้ เมื่อเริ่มฝึกควรให้เลิกใช้ผ้าอ้อมสำเร็จรูปเพื่อที่จะได้ทราบว่าเด็กขับถ่ายมาเมื่อไร  ให้เด็กได้สัมผัสกับความเปียกแล้วรีบเปลี่ยนกางเกงให้ทุกครั้งและสังเกตว่าเด็กมักจะขับถ่ายทั้งปัสสาวะและอุจจาระในเวลาใดแล้วนำมาฝึกเด็กในเวลาใกล้เคียงกันพร้อมทั้งใช้คำง่าย ๆ สอนเด็กคือ "ฉี่" และ "อึ" เด็กจะรับรู้และเรียนรู้ได้ไม่เร็วเหมือนเด็กปกติ การฝึกการขับถ่ายนี้เพื่อเตรียมเด็กให้พร้อมก่อนส่งเด็กเข้าเรียน

๓. การเล่นและการรับรู้ทางอารมณ์

  • การเล่นของเล่นเด็กออทิสติกจะเล่นของเล่นไม่เป็นเนื่องจากการขาดจินตนาการทำให้เด็กหันเข้าหาและอยู่ในโลกของตนเองเพราะไม่รู้สึกสนุกสนานในการเล่นของเล่นเหมือนเด็กปกติ เมื่อเด็กได้รับการฝึกให้เล่นของเล่นจนเป็นแล้วจะเป็นการเชื่อมโยงในการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลการสื่อความหมายได้ง่ายขึ้นและปรับอารมณ์ให้ดีได้ด้วย
  • การสื่อสารโดยใช้ท่าทางในเด็กออทิสติกที่ยังไม่สามารถพูดได้มักจะมีปัญหาทางด้านอารมณ์จึงควรฝึกให้เด็กสามารถสื่อสารโดยใช้ท่าทางก่อนเพื่อเป็นการสื่อความหมายบอกถึงความต้องการของเด็กได้ก่อนที่เด็กจะสามารถสื่อความหมายด้วยการพูดซึ่งจะเป็นการนำทางให้เด็กสามารถพูดได้เร็วขึ้น
  • การรับรู้การแสดงอารมณ์ทางสีหน้าเด็กออทิสติกจะไม่สามารถอ่านจิตใจและอารมณ์ของผู้อื่นจากการแสดงออกทางสีหน้าได้ เนื่องจากขาดกระบวนการทางความคิดซึ่งเป็นนามธรรมจึงเห็นได้เสมอว่าเด็กออทิสติกจะหัวเราะเมื่อเห็นแม่กำลังร้องไห้แม้แต่เด็กออทิสติกที่สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติแล้วยังหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนถูกครูทำโทษจึงควรฝึกสอนแบบรูปธรรมให้เด็กได้รับรู้ถึงสีหน้าที่แสดงออกทางอารมณ์ที่แตกต่างกันเพื่อให้เด็กอยู่ในสังคมนอกบ้านได้อย่างเหมาะสม

 

โรคออทิซึม
การฝึกให้เล่นของเล่นอย่างถูกวิธี

 

๔. อรรถบำบัด (Speech therapy)

      คือ การฝึกสอนให้เด็กสามารถเปล่งเสียงและพูดได้เพื่อให้เด็กเรียนรู้ภาษาและสามารถสื่อสารได้ซึ่งเป็นการบำบัดที่สำคัญมากผู้ฝึกต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการแก้ไขการพูด

๕. พฤติกรรมบำบัด (Behavior therapy)

      คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ผิดปกติและมีปัญหาให้เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสมเพื่อที่จะสามารถอยู่ร่วมกับเด็กปกติทั่วไปได้รู้จักปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ควรเป็นไปตามวัยรู้จักควบคุมอารมณ์ 

๖. ดนตรีบำบัด (Musical therapy)

      คือ การใช้ดนตรีร่วมในการบำบัดเพื่อให้เด็กออทิสติกผ่อนคลายความรู้สึกกลัว กังวล กระตุ้นให้เด็กตอบสนองต่อการฟังเพิ่มขึ้นจนสามารถเปล่งเสียงและเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรีที่ครูฝึกสอนให้ได้ ทั้งยังช่วยในด้านการสร้างสัมพันธภาพระหว่างบุคคล การสื่อสาร และสามารถลดพฤติกรรมที่ก้าวร้าวได้

๗. การพัฒนาทักษะการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย

      คือ การฝึกสอนให้เด็กออทิสติกสามารถควบคุมตนเองในการเคลื่อนไหวร่างกายให้ถูกต้องและเหมาะสม

 

โรคออทิซึม
การฝึกสอนวิ่งซิกแซกและหลบหลีกสิ่งกีดขวางเพื่อให้เด็กสามารถควบคุมตนเองได้

 

๘. การทำ Neurofeedback โดยใช้เครื่องมือ Hemoencephalogram (HEG) ร่วมในการบำบัด

      โดยใช้เทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์นำทางให้เด็กเกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองว่าเด็กสามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้นั่งนิ่งโดยมีสมาธิและเกิดความตั้งใจได้โดยดูจากกระบวนการป้อนกลับ (feedback) ที่เห็นทางจอคอมพิวเตอร์เป็นการฝึกให้เด็กได้เรียนรู้ในการบำบัดด้วยตนเอง

๙. การเรียน

      เด็กออทิสติกที่มีความสามารถทางสติปัญญา (IQ) ที่อยู่ในระดับเกณฑ์เฉลี่ย (๘๐ - ๑๐๐) และไม่มีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์จะสามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติในโรงเรียนทั่วไปได้จนถึงระดับวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัย เด็กออทิสติกที่มีความสามารถทางสติปัญญาอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย (ต่ำกว่า ๗๐) ซึ่งมักพบปัญหาพฤติกรรมและอารมณ์ร่วมด้วยควรได้รับการช่วยเหลือโดยการเข้าเรียนแบบการศึกษาพิเศษในโรงเรียนทั่วไปโดยจัดหลักสูตรการเรียนให้เป็นรายบุคคลและเน้นทางวิชาชีพเป็นหลัก เด็กออทิสติกที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมและอารมณ์อย่างมากและมีอาการปัญญา อ่อนร่วมด้วยควรได้รับการบำบัดรักษาและฝึกการช่วยเหลือตนเองในกิจวัตรประจำวันฝึกการทำงานบ้านตามความสามารถของเด็ก

๑๐. การใช้ยา

      โรคออทิซึมยังไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ มีผู้ศึกษาวิจัยมากมายเกี่ยวกับการใช้วิตามินบี ๖ กับแมกนีเซียม เอนไซม์ ซีครีติน เฟนฟลูรามีน ยาต้านเศร้า ยาทางจิตประสาท ฮอร์โมนบางชนิด ฯลฯ แต่ยังไม่มีการพิสูจน์ที่แน่นอนว่ายาตัวใดสามารถรักษาเกี่ยวกับการบกพร่องทางด้านสังคมและการสื่อความหมายได้เลยจึงเป็นการใช้ยาตามอาการซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการลดพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ เช่น อาการอยู่ไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ อารมณ์หุนหันพลันแล่น พฤติกรรมก้าวร้าว พฤติกรรมทำร้ายตนเอง การกระทำซ้ำซากเพื่อจะฝึกสอนให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านสังคม การสื่อความหมาย การฝึกพูด การทำพฤติกรรมบำบัดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากสภาพร่างกายของคนแต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงของยาในร่างกายต่างกันการตอบสนองต่อยาในเด็กแต่ละคนจึงแตกต่างกันด้วยเมื่อให้ยาชนิดเดียวกันกับเด็กคนหนึ่งอาจมีอาการง่วงนอนแต่กับเด็กอีกคนหนึ่งอาจไม่มีอาการง่วงนอนเลยซึ่งต้องนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการบริหารยาด้วย ในปัจจุบันยาที่มีผลข้างเคียงน้อยและใช้ได้ผลดีสำหรับเด็กออทิสติกซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายคือยาต้านเศร้ากลุ่มที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อสารสื่อประสาทซีโรโทนินและยาต้านอาการโรคจิตประสาทกลุ่มใหม่ 

      การฝึกเด็กออทิสติกให้ได้ผลดีนั้นต้องมีความตั้งใจจริงอดทนฝึกซ้ำ ๆ โดยใช้ระยะเวลาไม่นานเกินไปและฝึกในขณะที่ทั้งเด็กและผู้ฝึกสอนมีอารมณ์ผ่อนคลาย การฝึกไม่ควรเร่งรัดและต้องทำใจยอมรับด้วยว่าการฝึกเด็กออทิสติกนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงและการตอบสนองได้ช้ากว่าเด็กปกติมาก แต่เมื่อเด็กออทิสติกสามารถที่จะกระทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งได้แล้วจะไม่ลืมและช่วยเป็นแรงผลักดันของทั้งตัวเด็กและผู้สอนไปพร้อม ๆ กัน ควรระวังด้วยว่าการฝึกที่ใช้การบังคับและฝึกมากจนเกินไปกลับเป็นผลเสียทำให้เด็กหงุดหงิดมีปัญหาทางอารมณ์ไม่ยอมปฏิบัติอันเป็นเหตุให้ผู้สอนท้อแท้และหมดกำลังใจได้ทำให้การฝึกไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร  การรักษาเด็กออทิสติกนั้นจะใช้วิธีการหรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ควรใช้หลาย ๆ วิธีการและกิจกรรมต่าง ๆ ผสมผสานกันไปใช้การฝึกแบบเลี้ยงเด็กโดยวิธีธรรมชาติมากที่สุดควรให้เด็กได้รับอาหารอย่างเพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอพร้อมกับฝึกสอนการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างถูกต้องเมื่อเด็กเริ่มเรียนรู้ได้แล้วควรฝึกสอนเกี่ยวกับทักษะในการดำรงชีวิตให้เด็กด้วย

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
  • Posted By
  • Plookpedia
  • 15 Followers
  • Follow