โดยเรื่องราวความอันตรายของสีเริ่มต้นขึ้นเมื่อราว 100 กว่าปีก่อน ในปี 1898 ซึ่งอยู่ในยุคกรีกโบราณ เมื่อมารีและปิแอร์ คูรี ผู้ค้นพบธาตุกัมมันตรังสีอย่างโพโลเนียมและเรเดียม ทำให้พวกเขารู้ว่าธาตุบางชนิดสามารถปล่อยรังสีออกมาได้
ปรากฏการณ์ที่ธาตุแผ่รังสีออกมาได้เองเช่นนี้เรียกว่า "กัมมันตภาพรังสี"
ส่วนรังสีเหล่านั้นถูกเรียกว่า "กัมมันตรังสี"
และธาตุที่ปล่อยรังสีออกมาได้คือ "ธาตุกัมมันตรังสี (Radioactive element)"
ธาตุกัมมันตรังสีเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ส่งผลกระทบต่อตัวคุณได้ ธาตุกัมมันตรังสีมีทั้งคุณและโทษ การปลดปล่อยพลังงานของมันมีอำนาจทะลุทะลวง ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางด้านการแพทย์ เกษตร อุตสาหกรรม และด้านอื่น ๆ ได้ เช่น ผลิตรังสีเอ็กซ์เผื่อส่องทะลุและตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายในสิ่งห่อหุ้มได้ ใช้ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ในผลิตผลทางการเกษตร หรือการรักษาโรคมะเร็ง แต่โทษของมันก็มีอยู่ เช่น การทำลายสมดุลของธาตุต่าง ๆ และน้ำ รวมถึงโมเลกุลในสิ่งมีชีวิตที่ได้รับรังสีมากเกินไป ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน หรือความผิดปกติในระดับพันธุกรรม ซึ่งทำให้ป่วยและเสียชีวิตได้
สีเขียวเรืองแสงอาจจะดูน่าค้นหา ชวนให้อยากสัมผัสเนื่องจากความแปลกที่แตกต่างและความน่าสนใจของมัน แต่อันที่จริง สีที่น่าค้นหานี้เหมือนสิ่งย้ำเตือนว่า สิ่งนี้มีอันตรายและไม่ควรเข้าไปแตะต้อง เพราะมันเป็นสีของธาตุเรเดียม คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดถึงโทษที่จะได้รับในระยะยาวเนื่องจากอยู่ในขั้นต้นของการค้นพบธาตุเรเดียม และไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องสมบัติของธาตุกัมมันตรังสี ว่ากันว่าธาตุเรเดียมมีสมบัติในการฟื้นฟู สีที่เป็นประกายเขียวเรืองแสงของมันทำให้ผู้คนให้ความสนใจและเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว มันถูกผสมและเป็นส่วนประกอบในสิ่งของแทบทุกอย่างที่คุณสามารถจินตนาการได้ ไม่ว่าจะเป็นสารอุดฟัน ยา เครื่องประดับประกอบอัญมณี ยาสีฟัน ลูกอม เครื่องดื่ม หรือแม้แต่เสื้อผ้า สีเขียวเรืองแสงกลายเป็น Color of the year ในยุคนั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไป การศึกษาวิจัยเพิ่มขึ้นทำให้รับรู้ถึงโทษต่อสุขภาพที่เกิดขึ้นจากการได้รับกัมมันตรังสี เรเดียมมีโทษมากกว่าความสวยงามของมัน
สีเขียวอีกหนึ่งเฉดที่เป็นที่นิยมคือสารประกอบสารหนู (Arsenic) ซึ่งให้สีเขียวที่เรืองแสงและเป็นเอกลักษณ์มากกว่า มันถูกใช้อย่างแพร่หลายเช่นเดิมในแทบทุกอย่างตั้งแต่อาหาร เครื่องใช้ สีพ่น อุตสาหกรรมเครื่องจักรและยานยนต์ก็ยังใช้ ความโดดเด่นของมันไม่เพียงแต่สีที่ต้องตา แต่ความสามารถในการทำลายหรือพิษของมันเมื่อเข้าสู่ร่างกายก็ร้ายแรงเอาเรื่อง มันสามารถทำลายเซลล์ การทำงานและการสื่อสารระหว่างเซลล์ต่าง ๆ ในช่วงแรกของความนิยมสีเขียวเฉดนี้ทำให้คนงานที่ย้อมสีผ้าด้วยสีเขียวต่างป่วยเนื่องจากได้รับสารหนู เสื้อผ้าที่มีสีเขียวก็ทำให้ผู้สวมใส่เกิดอาการแพ้และป่วย จนเมื่อปี ค.ศ. 1822 มีการตีพิมพ์รายงานเรื่องพิษของสีเขียวนี้ ความนิยมของมันจึงทิ้งดิ่งในทันที และกลายเป็นเพียงส่วนประกอบของยาฆ่าแมลงและปราบศัตรูพืช ขนาดพืชและสัตว์ยังตาย มนุษย์เราก็ไม่น่าจะรอด
สีขาวแห่งความตายเริ่มต้นตำนานของมันในยุคกรีกโบราณหลายพันปีก่อน สีขาวนวลบริสุทธิ์ถูกใช้กับทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งปลูกสร้าง เสื้อผ้า เครื่องตกแต่งบ้าน รวมถึงแต้มแต่งหน้าตาและเรือนร่างให้ขาวผ่อง สีขาวนี้ได้มาจากออกไซด์จากตะกั่ว (Lead) ซึ่งเมื่อถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้เกิดโรคผ่านการสูดดม รับประทาน หรือ การซึมผ่านผิวหนัง จะทำลายระบบสำคัญ ๆ ในร่างกาย เช่น ระบบเนื้อเยื่อ ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบประสาท สมดุลของแคลเซียมในร่างกาย แต่มันก็ยังถูกใช้อย่างแพร่หลายตั้งแต่ยุคกรีกเรื่อยมาจนถึงกลางศตวรรษที่ 19 กว่าจะมีการศึกษาและสั่งห้ามใช้ในที่สุด
อีกสีที่เป็นอันตรายจากรังสีที่ธาตุยูเรเนียมปล่อยออกมาคือสีส้ม จากการนำยูเรเนียมออกไซด์มาใช้ในการเคลือบสีภาชนะต่าง ๆ ซึ่งกัมมันตรังสีที่ปล่อยออกมาทำให้ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ เช่น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง แต่กว่าจะรู้ตัวกันก็ช่วงปลายคริศตวรรษที่ 18
สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ หน้าตากับคุณสมบัติอาจจะไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน หรือความอันตรายของสิ่งต่าง ๆ อาจจะไม่ได้สัมพันธ์กับหน้าตาที่ดึงดูดของมัน ใครจะรู้ว่าสีเขียวเรืองแสงหรือสีส้มเป็นประกาย หรือแม้แต่ขาวนวลนั้นจะเป็นโทษต่อร่างกายของเรา แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ในตอนนี้คือประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย กฎและกติกาถูกบัญญัติเพิ่มขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีที่อาจจะมีพิษต่อร่างกายหรือแม้แต่ต่อสภาพแวดล้อมถูกนำมาใช้จริง การทดลองและการวิจัยหาผลกระทบในระยะยาวยังคงดำเนินต่อไปกับสารเคมี รวมถึงสิ่งประดิษฐ์ที่ถูกคิดค้นขึ้นมาใหม่ ก่อนที่จะถูกนำมาใช้กับเครื่องสำอาง อาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือแม้แต่สีที่ใช้กับอาคารพักอาศัยซึ่งคนเราต้องสัมผัสไม่ว่าทางตรงและทางอ้อมก็ตาม