Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

เรื่องของ พระนางมาคันทิยา : พุทธวิธีชนะคนไม่มีศีลที่มาด่าทอต่อว่า

Posted By มหัทธโน | 25 ก.ค. 60
31,080 Views

  Favorite

 

ภาพ : Shutter Stock

 

ช้างศึกเข้าสู่สงคราม ต้องอดทนต่อลูกศรที่ยิงมา

 

เกิดเป็นคน  ต้องสู้ทน  ต่อคำด่า 
แม้ทำดี  ทำบ้า ถูกด่าหมด  
ทำซื่อ ๆ ก็ถูกด่า ว่าไม่คด   
ทำเลี้ยวลด  ก็ถูกด่า  ว่าไม่ตรง

 

กับเรื่องราวสมัยพุทธกาล เมือมีหญิงจ้างคนมาด่าว่าพระพุทธเจ้า ทรงเมตตาสอนพุทธวิธีเอาชนะคนเหล่านี้  

 

เรื่องของ "พระนางมาคันทิยา" ผู้ผูกอาฆาตพยาบาทต่อพระพุทธเจ้า


พระนางคันทิยามีรูปงามดุจนางอัปสร จึงมีเศรษฐี คฤหบดี ตลอดจนพระราชา จากเมืองต่าง ๆ ส่งสารมาสู่ขอมากมาย แต่บิดามารดาของนางก็ปฏิเสธทั้งหมดด้วยคำว่า “พวกท่านไม่คู่ควรแก่ธิดาของเรา” นางจึงครองความเป็นโสดเรื่อยมา
 

พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นอุปนิสัยของพราหมณ์สองสามีภรรยา จึงเสด็จมายังแคว้นกุรุ
 

พระพุทธเจ้าทรงปฎิเสธและสอนความจริงด้านกายา

ฝ่ายพราหมณ์ผู้บิดาพบพระพุทธเจ้าเห็นพระลักษณะถูกตาต้องใจและคิดว่า “บุรุษผู้นี้แหละคู่ควรกับลูกสาวของเรา”  จึงเข้ากราบทูลว่า “ท่านสมณะ ข้าพเจ้าจะยกธิดาให้เป็นคู่ชีวิตแก่ท่าน”

พระพุทธเจ้าตรัสห้ามแล้วตรัสต่อไปว่า
อด

“ดูก่อนท่านพราหมณ์ เมื่อตถาคตตรัสรู้ใหม่ ๆ ธิดามาร 3 คน ซึ่งมีร่างกายเป็นทิพย์สวยงามกว่าลูกสาวของท่านหลายเท่านัก มาประเล้าประโลมเรา เรายังไม่สนใจ ไม่พอใจ เหตุไฉนจะมาพอใจยินดีในลูกสาวของท่านลูกสาวของท่านนี้
 

แม้จะงามในฐานะมนุษย์ก็จริงแล แต่ทว่าความงามไม่ทนนาน อายุมากไปเท่าไร ความแก่เฒ่าก็จะเข้าครอบงำเข้าไปมากเท่านั้น ความเศร้ามากก็จะปรากฏภายนอก ในที่สุดผิวพรรณที่ผ่องใสก็จะกลายเป็นผิวพรรณหม่นหมอง ร่างกายที่มีความสวยสดงดงาม ก็จะโทรมไปทีละน้อย ๆ ถึงวัยกลางคนความงามก็จะสลายไป เหลือมาเล็กน้อยถึงวัยแก่หนังก็จะย่น ความงามก็ไม่ปรากฏ ความที่เป็นคนสวยงดงามก็จะสลายตัวไป
 

และยิ่งกว่านั้นร่างกายลูกสาวของท่านเธอเต็มไปด้วย มูตร และ กรีส ( มูตร คือ ปัสสาวะ กรีส คืออุจาระ ) ฉะนั้น ในเมื่อร่างกายลูกสาวของเธอแตกต่างกับนางตัณหา นางราคา นางอรดี เพราะนางตัณหา นางราคา นางอรดี นั้น ร่างกายเต็มไปความสวยสดงดงาม เพราะเป็นนามธรรม ไม่มีเหงื่อ ไม่มีไคล ไม่มีน้ำเหลือ น้ำเหลือง น้ำหนอง ไม่มีอุจจาระ ไม่มีปัสสาวะในกาย ตถาคตยังไม่ต้องการ แล้วจะต้องการอะไรกับลูกสาวท่าน ที่ร่างกายเต็มไปด้วยอุจจาระ ปัสสาวะ
 

ความจริงอย่าว่าแต่ให้ตถาคตเอามาประดับประคองเป็นภรรยาเลย เวลานี้ แม้แต่เท้าของตถาคตก็ยังไม่อยากจะแตะร่างกายลูกสาวของท่านเลย”

เมื่อตรัสดังนี้แล้ว ทรงแสดงธรรมโปรดสองสามีภรรยาจนทั้งสองได้บรรลุเป็นพระอนาคามี

 

ภาพ : "พระนางมาคันทิยา" ผู้ผูกอาฆาตพยาบาทต่อพระพุทธเจ้า
สืบค้นจาก https://board.postjung.com/934658.html เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 60


นางมาคันทิยาผูกอาฆาตพระพุทธเจ้า 

ฝ่ายนางมาคันทิยา ได้ยินพระดำรัสของพระพุทธเจ้าโดยตลอด รู้สึกโกรธที่พระพุทธเจ้า ตำหนิประณามว่าร่างกายของนางเต็มไปด้วยอุจจาระปัสสาวะ ไม่ปรารถนาจะสัมผัสถูกต้องแม้ด้วยเท้า จึงผูกอาฆาตของเวรต่อพระพุทธเจ้าตั้งแต่นั้นมา
 

ฝ่ายพราหมณ์สองสามีภรรยากราบทูลขออุปสมบทปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ทั้งสองท่าน ต่อมานางมาคันทิยาถวายเป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทน ซึ่งทรงมีอัครมเหสีอยู่แล้ว คือ พระนางสามาวดี  ซึ่งนางมาคันทิยาก็ได้ดำรงตำแหน่งอัครมเหสี  เฉกเช่นพระนางสามาวดี 

 

อาฆาตพระพุทธเจ้า จ้างคนมาด่าทอพระองค์ท่าน 

เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทับอยู่ที่เมืองโกสัมพี (เสด็จมาใหม่ ๆ ) พระนางมาคันทิยาซึ่งมีความโกรธพระศาสดา มีความประสงค์จะให้พระองค์ออกจากเมืองโกสัมพี จึงได้ว่าจ้างให้คนที่เป็นมิจฉาทิฏฐ ไม่เลื่อมใสพระรัตนตรัย ช่วยกันรุมด่าให้พระองค์เสด็จหนีไปเมืองอื่น

 

ครั้นยามเช้าพระศาสดาเสด็จเข้าไปในเมืองเพื่อบิณฑบาต ก็มีพวกทาสกรรมกรบ่าวไพร่ที่ได้รับค่าจ้าง ติดตามด่าว่าพระพุทธองค์ด้วยคำด่า ๑๐ ประการ ซึ่งถือว่าเป็นคำด่าที่แสบที่สุดในยุคนั้น คือ เจ้าเป็นโจร เจ้าคนพาล เจ้าคนหลง เจ้าอูฐ เจ้าโค เจ้าลา เจ้าสัตว์นรก เจ้าสัตว์เดรฉาน สุคติของเจ้าไม่มี เจ้าหวังแต่ทุคติเท่านั้น 

 

พระอานนท์ผู้เดินตามหลังพระศาสดาทนไม่ได้ที่มีบุคคลมากล่าวล่วงเกินพระพุทธองค์ซึ่งเป็นผู้ที่ตนเคารพสูงสุดท่านจึงกราบทูลว่า

"เมืองนี้เขาด่ามากเหลือเกินพระพุทธเจ้าข้า เราไปเมืองอื่นเถิดพระพุทธเจ้าข้า"

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

" ไปเมืองไหนอานนท์"

พระอานนท์ตอบว่า

"ไปเมืองที่เขาไม่ด่า พระพุทธเจ้าข้า"

 

พระองค์ตรัสถามว่า

"ถ้าคนในเมืองนั้นด่าอีก เราจะไปที่ไหนอานนท์"

พระอานนท์ตอบว่า 

"เราก็ไปเมืองอื่นจากเมืองนั้นอีกพระพุทธเจ้าข้า"

 

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

"แล้วคนในเมืองนั้นด่าอีกจะไปไหน" 

พระอานนท์ตอบว่า 

"ก็ไปเมืองอื่น ๆ อีกพระพุทธเจ้าข้า"

 

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
"เราทำอย่างนั้นไม่ควรทำใจร้อนใจ  ด่วนไม่สมควรแก่สมณะ  เรื่องเกิดขึ้นที่ไหนควรให้ดับที่นั่นก่อนเราค่อยไปที่อื่น  คนที่ด่านั้น คือพวกไหนกัน"

พระอานนท์ตอบว่า 

"คือเริ่มแต่พวกทาส กรรมกรเป็นต้นไปพระพุทธเจ้าข้า"

 

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า

"อานนท์ ...

เราเป็นเช่นกับช้างที่เข้าสู่สงคราม

การอดทนต่อลูกศรที่แล่นมาจาก ๔ ทิศ

เป็นภาระของช้างที่เข้าสู่สงคราม

 

ฉันใด...

การอดทนต่อถ้อยคำที่คนทุศีล (ไม่มีศีล) เป็นอันมากกล่าวแล้วเป็นภาระของเราฉันนั้น

เราจักอดกลั้นต่อคำล่วงเกิน ดังช้างศึกที่อดทนต่อลูกศร

เพราะคนเป็นอันมากเป็นผู้ทุศีล

บุคคลผู้อดกลั้นต่อคำล่วงเกินได้ ฝึกตนดีแล้ว เป็นผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย

การตบมือข้างเดียวย่อมไม่ดัง ฉันใด

เมื่อฝ่ายตรงข้ามสงบนิ่ง ทำหูทวนลมเสีย

การด่าอยู่แต่ฝ่ายเดียวก็ไร้ประโยชน์ ฉันนั้น

พวกปากรับจ้างด่าจนเมื่อยปาก ก็เกิดความเบื่อหน่าย เลิกด่าไปเอง เรื่องก็สงบลงใน ๗ วัน"

 

เมื่อพระองค์ตรัสจบอย่างนี้ คนมากมายที่รับสินบนมาด่าตามถนน ๓ แพร่ง ๔ แพร่ง เป็นต้น เหล่านั้น ก็ได้บรรลุโสดาบัน เป็นคนดีเลิกด่า เป็นคนดีตั้งแต่บัดนั้นตลอดชีวิต

 

พระพุทธเจ้าทรงเมตตาอย่างไม่มีชนชั้นวรรณะ

ชี้ให้เห็นว่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงเอื้อเฟื้อต่อความผิดของมหาชนเลย มีแต่ทรงมุ่งหมายจะให้เป็นประโยชน์แก่มหาชนเท่านั้น และพระองค์เป็นผู้อดทนทุกอย่าง ทั้งสอนดีและทำดีให้เห็นด้วยว่าทรงสอนอย่างไรก็ทำอย่างนั้น


ท้ายที่สุด นางมาคันทิยาหวังให้พระองค์หนีไปเมืองอื่นก็ผิดหวัง แถมยังมีคนศรัทธาเพิ่มอีก และยิ่งอาฆาตทวีคูณเมื่อรู้ว่า พระนางสามาวดี อัครมเหสีอีกพระองค์ก็เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธเจ้าสูงสุด จึงพยายามหาเรื่องทุกหนทาง แต่ท้ายที่สุด เมื่อความจริงทุกอย่างเปิดเผย พระนางก็โดนพระสวามีทำโทษขั้นสูงสุด ด้วยการขุดหลุมฝัง จากนั้นเฉือนเนื้อของพระนาง นำไปทอดในน้ำมันเดือดแล้วนำมาให้พระนางเสวยจนสิ้นพระชนม์และตกลงสู่อเวจี

 

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
  • Posted By
  • มหัทธโน
  • 4 Followers
  • Follow