Home
Education
Classroom
Knowledge
Blog
TV
ธรรมะ
กิจกรรม
โครงการทรูปลูกปัญญา

The Idol : อาย กมลเนตร นางเอก & นักเขียน ที่ใครก็เทใจให้

Posted By Plook Magazine | 13 ก.ค. 60
7,935 Views

  Favorite

 

หนึ่งชั่วโมงที่นั่งสัมภาษณ์ อาย-กมลเนตร เรืองศรี ให้บรรยากาศเหมือนเพื่อนนั่งเม้าท์กับเพื่อน เพราะเรื่องที่เธอนำมาคุยสร้างเสียงหัวเราะได้ตั้งแต่คำถามแรกจนถึงคำถามสุดท้าย โดยเฉพาะเรื่องที่เธอทำสมัยที่ยังเป็นเฟรชชี่ปี 1 ซึ่งเมื่อฟังจบแล้วเราก็ไม่สงสัยอีกเลยว่าทำไมเธอถึงได้กลายมาเป็นนักแสดงที่ดี (ทั้งเล่นดีและอารมณ์ดี) และเป็นนักเขียนที่เก่งแบบนี้

ถึงแม้ว่าเธอจะเรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แต่เพราะความตั้งใจทำให้เธอเรียนจบพร้อมเพื่อน แถมพ่วงด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ซึ่งเธอบอกว่าใคร ๆ ก็สามารถทำแบบเธอได้

 

 

อาย-กมลเนตร เรืองศรี



ทำไมถึงเลือกเข้าคณะสื่อสารมวลชน ม.เกษตร

เรารู้ตัวเองตั้งแต่ม. 5 แล้วว่าต้องไปสายนิเทศศาสตร์ เพราะพื้นฐานเป็นคนชอบเอนเตอร์เทนคน จำได้ว่าปีเราเป็นแอดมิชชั่นปีสุดท้ายที่ใช้ O-NET, A-NET แต่เราไม่สอบ  A-NET เพราะรู้ว่านิเทศฯ ใช้เเค่ O-NET คือเราไม่สับสนในสายที่เราจะเรียนต่อเลย อีกอย่างคือ เราชอบพี่บุรินทร์ และเคยมาดูพี่เขาร้องเพลงที่สนามฮอกกี้ตอนแอดมิชชั่น ก็เลยคิดว่าที่นี่แหละคือที่ที่เรารักกัน เราต้องเข้าเกษตรศาสตร์ให้ได้
 

จากนักเรียนมาเป็นเด็กมหา’ลัยปรับตัวยากไหม

เราต้องมีระเบียบวินัยในตัวเองมากขึ้นเพราะเข้ามหา’ลัยแล้วจะไม่มีคนมาคอยจ้ำจี้จ้ำไช หรือไล่ให้เราไปเข้าเรียนอีกแล้ว ถ้าเราไม่มีวินัยก็อาจจะเละเทะได้ เพราะฉะนั้นจากมัธยมสู่มหา’ลัยมันคือ การหลุดออกมาจากกรอบ และทำให้เราโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยการรับผิดชอบทุกอย่างเอง  

 

ตอนนั้นรุ่นพี่เขารับน้องคุณโหดไหม

เราโดนรับน้องด้วยการไปทะเลกันทั้งรุ่น ตอนลงรถบัสก็โดนปิดตา แต่เรามองว่ามันไม่ได้น่ากลัวอะไร อาจเพราะว่าไม่เครียด และรุ่นพี่ก็ไม่ได้โหดขนาดนั้น ก็เลยมองว่าการรับน้องมันคือกระบวกการกระบวนการหนึ่ง หรือสถานการณ์หนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้เรารู้จักสังคมมหา’ลัยและได้รู้จักเพื่อน ซึ่งทุกคนจะเข้าใจได้เองเมื่อขึ้นปี 2 แล้วต้องไปเป็นพี่รับน้อง

 

ทำไมถึงบอกว่า เราจะเข้าใจเมื่อต้องมารับน้องของตัวเอง

เพราะมันสนุกมากกว่าจะไปเครียด ตอนเรารับน้องของเราเอง เราแกล้งไปเป็นพี่เนียนนั่งรวมกับน้อง ๆ ใส่ชุดนักเรียนของเพื่อนและตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ซี สร้างสตอรี่ว่าตัวเองเป็นนักว่ายน้ำ แต่บางคนก็จำเราได้ แต่เราต้องห้ามหลุด ถ้าจะเล่นต้องเล่นให้สุด นักแสดงถ้าผู้กำกับไม่สั่งคัท ห้ามหยุดเด็ดขาด ซึ่งมันก็สร้างสีสันให้กับน้อง ๆ ได้ เราถึงชอบชีวิตมหา’ลัยมาก

 

เข้ามหา’ลัยต้องเปิดใจ แล้วจะได้เพื่อนต้องเปิดใจยังไง

เราต้องมีความจริงใจไม่เสแสร้ง อยากทำความรู้จักใครก็แค่ถามชื่อ เธอเป็นใคร มาจากไหน อยู่โรงเรียนอะไร อีกอย่างคือ ยิ้มให้เป็น เพราะเรารู้สึกว่าเดี๋ยวนี้คนไทยไม่ค่อยยิ้มให้กันแล้ว ใครยิ้มให้ก็จะคิดว่า ยิ้มให้ทำไม ทั้ง ๆ ที่บ้านเราขึ้นชื่อว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม แรก ๆ มันอาจจะรู้สึกแปลก ๆ หน่อย แต่เราสามารถหาเพื่อนจากการยิ้มได้จริง ๆ



มีกฎส่วนตัวในการเรียนไหม เหมือนข้อนี้ห้ามแหกเด็ดขาด

ไม่มีค่ะ เราเรียนปกติ คือลอกการบ้านเพื่อนได้ ให้เพื่อนลอกการบ้านได้ แต่เราไม่ชอบโดดเรียนนะ เพราะเคยโดดเรียนตอนมัธยมวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งวิชานี้อาจารย์เขาจะแจกชีทให้ทำและส่งในห้องทุกวัน แต่บังเอิญก่อนวันที่เราจะโดดหนึ่งวันมันเป็นวันแม่ เราก็เลยหยุดชดเชยอีกวันหนึ่งเพราะกลัวทำโครงงานวิทยาศาสตร์ไม่ทัน พอเราไม่มาก็เลยไม่มีชีทส่ง เพราะมันส่งแบบวันต่อวัน อาจารย์ก็เลยเรียกเราไปว่าหน้าห้อง ซึ่งเรามองว่ามันซวยมากเพราะคนอื่นโดดตั้งหลายครั้งทำไมไม่โดน แต่เราโดนก็เลยกลัวการโดดเรียนมาตั้งแต่นั้น

 

แสดงว่าไม่โดดเรียนเลยเหรอ

โดดตรึมเลย (หัวเราะ) เพราะเราไม่ได้มองว่านั่นคือกฎหรืออะไร บางครั้งเราต้องออกไปทำงาน พอวันไหนมาเรียนได้อาจารย์ก็จะแซวว่า แหม่ วันนี้กมลเนตรมาเรียนได้แล้วเหรอคะ

 

คิดอย่างไรกับการที่ต้องเรียนให้สูงเข้าไว้  

คือถ้าคิดว่าตัวเองมีความสุข มีกำลังสมองไหวก็ทำ เพราะความสุขคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจเรียนไม่จบเลยก็ได้ถ้ารู้ว่าตัวเองมีความสุขกับอะไรก็ไปทำสิ่งนั้นเลย เช่น ถ้าคนไหนรู้ตัวว่าตัวเองชอบเศรษฐกิจพอเพียง รู้ว่าตัวเองมีความสุขกับตรงนั้นก็ไปได้เลย แต่เราก็ยังมองว่าใบปริญญายังคงเป็นใบเบิกทางบางอย่างในสังคมไทย เพราะมันแสดงออกถึงความรับผิดชอบของคน ๆ นั้น เพราะคนที่เขาจะรับเราเข้าทำงาน เขาจะมองว่าเรามีความรับผิดชอบไหมใน 4 ปีที่เรียนมา ไม่ใช่เรื่องเรียนเก่งไม่เก่งนะ แต่เขาจะดูว่าเรารับผิดชอบชีวิตตัวเองได้หรือเปล่า และถ้ารับผิดชอบได้ คุณก็จะรับผิดชอบงานเขาได้

 

เข้ามหา’ลัยแล้วจะค้นหาตัวเองเจอ คุณเจอไหม

เราเจอนะ เพราะก่อนหน้านั้นเราเคยอยากเป็นครีเอทีฟโฆษณามาก่อน แต่พอได้มาเรียนจริง ๆ กลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เพราะต่อให้มีความคิดสร้างสรรค์แค่ไหน สุดท้ายก็ต้องทำตามลูกค้าบอกอยู่ดี เราเลยคิดว่าตัวเองน่าจะไปทางการแสดงมากกว่า จึงเริ่มหันไปแคสงานโฆษณาและก็เริ่มทำงานจริง ๆ จัง ๆ ตอนปี 2 ขึ้นปี 3

 

"ชีวิตในมหา'ลัย ไม่ได้แค่มาเรียนเท่านั้น แต่เป็นการมาสร้างสังคมเพื่อนที่ดีให้ตัวเอง"

 


เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมันเป็นยังไง

มันเหนื่อยสุด ๆ ตอนนั้นเอาแต่คิดว่าทำไมเราเป็นเด็กอายุ 20 ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเด็กอายุ 20 เลย ต้องไปกองถ่ายแบบคนไม่มีความสุข เพราะตอนนั้นยังไม่เก็ทกับการแสดง จนผู้จัดการบอกให้ไปดรอปเรียนเพราะคิดว่าเราทำไม่ไหวหรอก แต่เรายืนยันว่าจะไม่ดรอป และจะต้องรับปริญญาพร้อมเพื่อนรุ่นเดียวกันด้วย สุดท้ายเราก็สามารถทำได้พร้อมกับได้เกียรตินิยมอันดับ 1

 

ได้ยินมาว่าคุณเคยจัดการชีวิตระหว่างที่เรียนอยู่แบบผิด ๆ ด้วย

มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เราเอาบทละครไปอ่านในห้องเรียน และเอางานที่ต้องทำในห้องเรียนไปทำที่กองถ่าย ซึ่งมันเป็นการโฟกัสที่ผิดพลาดมาก เหมือนเรารู้ว่าตัวเองก็ยุ่งอยู่แล้ว แต่เรายังไปทำให้ตัวเองยุ่งเข้าไปอีก เพราะฉะนั้นตอนที่อยู่กองถ่ายก็จะโฟกัสงานที่กองถ่ายอย่างเดียว หรือถ้าเรียนอยู่ก็จะตั้งใจเรียนเต็มที่ จะไม่ทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน


 

อาย-กมลเนตร เรืองศรี 


ชีวิตนักแสดงในช่วงแรก ๆ เป็นอย่างไรบ้าง

ก่อนหน้าที่จะเข้าใจว่าการแสดงมันเป็นอย่างไร เรายังเล่นได้ไม่ดีเลย เวลาเข้ากองไปแล้วก็ไม่มีความสุข คนในกองจะพูดว่า อ้าว วันนี้มีคิวอายเหรอ ลากยาวแน่ ซึ่งมันคือความกดดันของเด็กคนหนึ่งเหมือนกันนะ ตอนนั้นเรารู้สึกแย่มาก (เน้นเสียง) คือทำไมเราต้องมาเจอภาวะกดดันแบบนี้ คิดอยู่แค่ว่าถ้าตอนนี้เราไม่มาอยู่ตรงนี้เราก็กินขนมในห้องเรียนเฮฮากับเพื่อนไปแล้ว แต่พอเราเข้าใจเรื่องการแสดง เล่นเทคเดียวผ่าน แล้วผู้จัดก็เดินมาจับไหล่เราแล้วถามว่า เมื่อกี้เล่นแล้วเห็นไฟ เห็นกล้องไหม เราบอกไม่เห็น เขาก็บอกว่า นั่นแหละคือการแสดง ซึ่งเราไม่สามารถบอกใครได้ว่าเล่นแล้วไม่เห็นกล้องหรือไฟ หัวใจเต้นเป็นจังหวะเดียวกับตัวละครมันเป็นอย่างไร

 

ทำงานและเรียนไปด้วย แถมได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งอีก ทำได้อย่างไร

เรามีเพื่อนดีค่ะ การเรียนมหา’ลัยมันไม่ใช่การมาเรียนอย่างเดียว แต่เป็นการมาสร้างอะไรสักอย่าง ซึ่งสำหรับเรามันคือการสร้างสังคมเพื่อนที่ดีให้ตัวเอง เพราะตอนปี 3 เราเริ่มทำงานจริงจัง แทบไม่มีเวลาเข้าเรียนเลย แต่ที่ผ่านมาได้เพราะเรามีเพื่อนที่ดีคอยซับพอร์ตเราตลอด  

 

อาย กมลเนตร เรืองศรี


เพื่อนแบบไหนที่เรียกว่าเพื่อนที่ดี

เพื่อนที่ดีคือ เพื่อนที่เป็นหูเป็นตาให้เรา บอกและพาเราไปในทางที่ดี ถึงแม้เราจะไม่ได้เก่งที่สุด ไม่มีเวลาเรียนหรืออ่านหนังสือไม่ทัน แต่เพื่อนที่ดีจะบอกเราว่า งานไหนต้องทำก่อน อ่านตรงไหนถึงจะออกสอบ ช่วยแม้กระทั่งดึงเราเข้ากลุ่ม ซึ่งสุดท้ายแล้วเพื่อนและรุ่นพี่ที่เรามีในมหา’ลัย ก็จะกลายเป็นคอนเนคชั่นของเราในอนาคตเมื่อเราเรียนจบไปแล้ว  

 

"เราสามารถหาเพื่อน จากการยิ้มได้จริง ๆ"

 

ถ้าให้แนะนำคนที่เรียนและทำงานไปด้วยจะบอกเขาว่าอะไร

นักแสดงส่วนใหญ่ต้องดรอปเรียนเพราะเห็นงานในวงการบันเทิงสำคัญกว่าการเรียน ซึ่งเราคิดว่ามันสำคัญทั้งคู่ ไม่ว่าตอนนี้คุณจะทำงานอะไรอยู่ก็ตามอย่าดรอปเรียน แต่ให้ไปโฟกัสที่การบริหารเวลาให้ดียิ่งขึ้น ท้อได้แต่อย่าถอย เพราะยิ่งเราทำเยอะ คนที่ได้ก็คือเราเอง

 
อยากทำอะไรในอนาคต

มันสืบเนื่องมาจากตอนที่เราไปทำโปรเจกต์ ‘สานต่อที่พ่อทำ’ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เราก็เลยคิดตั้งแต่ต้นว่า ถ้าเรามีโอกาสได้ทำอะไรที่ดี ที่เราทำได้และกำลังเราไหวเพื่อคนอื่นได้เราก็อยากทำ ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่างเป็น   โปรเจกต์ชัดเจนแต่ถ้ามีใครมาชวนเราไปช่วย เราก็จะร่วมแน่นอน

 

 

อาย กมลเนตร เรืองศรี


ความสุขทุกวันนี้ของคุณคืออะไร

เราชอบประโยคหนึ่งของ Albert Camus มาก เขาบอกว่า “ชีวิตที่มีความสุขเกิดจาก 4 อย่างคือ ได้อยู่ในที่ ๆ อากาศปลอดโปร่ง มีความคิดสร้างสรรค์ หลุดพ้นจากความทะเยอทะยานและรักใครสักคน” เราอยากทำได้แบบนั้น เพราะสุดท้ายคนเราต้องตาย เราก็เลยอยากใช้ชีวิตให้มีความสุข ทำให้พ่อแม่มีความสุขและเป็นนักแสดงที่ดี ไม่ต้องรวยมาก แค่สามารถบริหารเงินที่ได้มาและแบ่งมันไปเที่ยวได้ เบสิกแค่นี้เลย

 

"ไม่ว่าตอนนี้คุณจะทำงานอะไรอยู่ก็ตามอย่าดรอปเรียน แต่ให้ไปโฟกัสที่การบริหารเวลาให้ดียิ่งขึ้น"

 

 

เรื่อง : วัลญา นิ่มนวลศรี
ภาพ : เบญจรัตน์ วงษ์วิลัย
ภาพประกอบ : อารัมภ์พร เอี่ยมวุฒิ

 

เว็บไซต์ทรูปลูกปัญญาดอทคอมเป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่เผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์ของสังคม ข้อความและรูปภาพที่ปรากฏในบทความเป็นการเผยแพร่โดยผู้ใช้งาน หากพบเห็นข้อความและรูปภาพที่ไม่เหมาะสมหรือละเมิดลิขสิทธิ์ กรุณาแจ้งผู้ดูแลระบบเพื่อดำเนินการต่อไป
Tags
  • Posted By
  • Plook Magazine
  • 3 Followers
  • Follow