สมาชิกที่สำคัญของพืชในกลุ่มนี้ก็คือ นุ่น ซึ่งเป็นเส้นใยของพืชที่เราคุ้นเคยมาโดยตลอด และมะพร้าว ซึ่งเป็นพืชที่ให้ประโยชน์สารพัด ก็เป็นพืชที่ให้ใย สำหรับเป็นวัสดุยัดไส้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น เบาะ เก้าอี้นวม และที่นอน เพื่อความนุ่มหรือยืดหยุ่น เส้นใยเป็นส่วนที่อยู่ ข้างนอกเปลือกหุ้มเมล็ดหรือกะลา เมื่อตีเอา ส่วนที่ติดกับเส้นใยออกเป็นขุยสำหรับใช้เป็น วัสดุเพาะชำแล้ว เส้นใยที่เหลือก็นำไปใช้ยัดไส้ สิ่งของ ทำเชือกล่ามโยงเรือได้ เรียกว่า เชือก มนิลา ซึ่งมีลักษณะเป็นเชือกเกลียว (โดยใช้ เส้นใยฟั่น) เช่นเดียวกับที่ทำจากป่านศรนารายณ์
นุ่น
เป็นพืชที่มีผู้ปลูกกระจัดกระจายทั่วประเทศไทย สำหรับใช้ประโยชน์ในครัวเรือนประเภทยัดเป็นไส้ในของหมอน ที่นอน ที่เหลือจึงนำไปขาย มักจะปลูกกันตามบริเวณบ้าน ประเทศไทยส่งนุ่นออกขายเป็นปริมาณมากที่สุดของโลก ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ประเทศไทยผลิตนุ่นได้ ๓๗,๐๐๐ ตัน
นุ่นที่แนะนำให้ปลูกในปัจจุบัน มีทรงต้นแบบทรงฉัตร มีการแตกกิ่งทำมุมกว้างกับลำต้น หรือกิ่งจะขนานกับแนวพื้นดิน เจริญเติบโตเร็ว ลำต้นกลม ผิวเรียบ ใบย่อยรูปหอก ๕-๘ ใบย่อย (ใบย่อยของนุ่นมีก้านใบสั้น แต่ใบย่อยของงิ้วมีก้านใบย่อยยาว) ออกดอก เมื่ออายุประมาณ ๒ ปี หรือนานกว่านี้ขึ้นอยู่กับปริมาณฝนและความสมบูรณ์ของต้น ดอกสีขาวปนเหลือง ออกเป็นกระจุก ฝักยาวปานกลางเมื่อแก่จะมีสีน้ำตาลเหลือง ๆ เปลือกเรียบ หัวและปลายฝักเรียว เปลือกบาง แกะเอาปุยออกได้ง่าย
เราสามารถปลูกนุ่นได้ง่าย ๆ โดยปลูกด้วยเมล็ดโดยตรง นอกจากนั้น อาจปลูกโดยการเพาะเมล็ดในแปลงเพาะก่อน เมื่อนุ่นอายุประมาณ ๖-๘ เดือน ก็เลือกต้นที่มีลักษณะดีแข็งแรง ไปปลูกลงในไร่ โดยตัดยอดออกก่อน เพื่อลดการคายน้ำ ควรย้ายกล้าลงปลูกเมื่อดินมีความชื้นและฝนตกสม่ำเสมอ ปลูกให้มีระยะระหว่างต้น ๖-๗ เมตร
แมลงที่ทำลายนุ่นให้เกิดความเสียหาย คือ ด้วงหนวดยาว มักจะเจาะทำลายบริเวณโคนต้น สูงจากพื้นดินประมาณ ๑-๒ เมตร เข้าทำลายต้นนุ่นอายุตั้งแต่ ๖ ปีขึ้นไป โดยจะวางไข่ที่ผิวของลำต้น เมื่อฟักเป็นตัว หนอนจะเจาะเข้าไปในลำต้น กัดกินทอน้ำเลี้ยง หรือท่อส่งน้ำส่งอาหาร ลงมาโคนต้น พอถึงระยะเข้าดักแด้ ก็จะลงดิน พักตัวอยู่บริเวณโคนต้น ถ้าไม่ป้องกันและกำจัดจะทำให้ต้นโทรมและตายไป ต้องป้องกันไม่ให้แมลงตัวเต็มวัยวางไข่ โดยการทาน้ำมันยาง หรือน้ำมันยางผสมสารเคมีกำจัดแมลงที่มีพิษตกค้างนานในอัตราความเข้มข้นสูง ตลอดจนฉีดพ่นสารกำจัดแมลงเข้าไปในรูที่หนอนเข้าทำลาย แล้วปิดด้วยดินหรือเศษไม้ และควรหมั่นตรวจไร่อย่างสม่ำเสมอ ถ้าหากพบต้นนุ่นถูกหนอนชนิดนี้เข้าทำลายใหม่ ๆ อาจจะใช้มีดถากบริเวณที่หนอนเข้าทำลาย แล้วจับตัวทำลายเสีย
นุ่นจะติดฝัก และให้ผลิตผลที่จะเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ เมื่อต้นนุ่นอายุประมาณ ๒-๔ ปี ดอกนุ่นจะทยอยบายออกไปเรื่อย ๆ จนบานหมดทั้งต้น ฝักจึงแก่ไม่พร้อมกัน ดังนั้น อย่าเก็บนุ่นที่อ่อนเกินไป จะทำให้ได้ปุยนุ่นที่มีคุณภาพต่ำ ถ้าเป็นนุ่นที่ผิวผักไม่เรียบ ต้องรอให้เห็นรอยย่นของเปลือกชัดเจน ไม่ควรเก็บนุ่นอ่อนมาปม จะแกะเปลือกออกได้ยากและได้ปุยนุ่นสีขาวอมเหลืองมาก ซึ่งมีคุณภาพไม่ดีถ้าเป็นพันธุ์ที่แก่แล้ว เปลือกไม่แตก ควรปล่อยให้แก่พร้อมกันจึงเก็บ อาจะใช้ขอเกี่ยว เขย่าต้น เอาไม้ตีฝักให้ร่วง หรือปีนต้นขึ้นไปเก็บฝักอย่าตัดกิ่งลงมาเพราะจะทำให้ผลิตผลของนุนในปีต่อไปลดลง ในปีแรกจะให้ผลิตผลของนุ่นในปีต่อไปลดลง ในปีแรกจะให้ผลิตผลมีจำนวนฝักต่อต้นประมาณ ๒๐-๓๐ ผัก และจะให้ผลิตผลไม่ต่ำกว่า ๔๐๐-๕๐๐ ฝักต่อต้น เมื่ออายุประมาณ ๑๐ ปี ผลิตผลจะเริ่มคงที่อยู่กับการดูแลรักษา นุ่นประมาณ ๑๒๐-๑๕๐ ผักจะให้ปุยประมาณ ๑ กิโลกรัม ในแต่ละฝักจะเป็นเปลือกประมาณ ๔๔% เมล็ด ๓๒% ไส้และก้าน ๗ % ปุยหรือเส้นใย ๑๗% ราคาขายทั้งฝัก กิโลกรัมละ ๔ บาท เมื่อแกะเอาเปลือกออกแล้วจะขายได้กิโลกรัมละ ๘-๑๐ บาท ในขณะที่ปุยนุ่นที่ปั่นเอาเมล็ดออกแล้วจะมีราคาประมาณกิโลกรัมละ ๓๐-๓๕ บาท
เส้นใยนุ่น มีรูปยาวรี รูปทรงกระบอกกลวง ผนังบาง เรียบ และเปราะ จึงไม่ค่อยใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอพวกปั่นด้ายเหมือนกับฝ้าย เพราะฟูและเบามาก เส้นใยไม่มีลักษณะหยิกหรือหยัก ที่จะข่วยให้กลุ่มเส้นใยจับตัวกันได้ดี เมื่อปั่นหรือฟั่นเป็นเส้นด้าย มีความถ่วงจำเพาะประมาณ ๑/๔ เท่าของน้ำ
มีความยาวของเส้นประมาณ ๘-๓๐ มิลลิเมตร
ปุยนุ่นมีคุณสมบัติอ่อนนุ่นและเบา พิเศษกว่าพืชเส้นใยอื่น ๆ คือ ไม่ดูดซับน้ำ แต่ดูดซับน้ำมัน สามารถรับน้ำหนักได้ ๓๐ เท่าตัวในน้ำทะเล จึงใช้ยัดทำเป็นเสื้อชูชีพ ทำให้ผู้สวมลอยตัวอยู่ในน้ำได้ ทางยุทธปัจจัย ก็ใช้ทำชนวนระเบิด เพราะมีคุณสมบัติไวไฟ เผาไหม้ได้เร็วมาก ทำวัสดุกันกระเทือน ยัดหมอน ที่นอนเครื่องใช้ต่าง ๆ ไส้ในฝักที่ปั่นเอาเมล็ดและปุยนุ่นออกแล้ว ก็เป็นวัสดุที่มีเซลลูโลสสำหรับใช้เพาะเห็ด เปลือกใช้ทำเชื้อเพลิง
งิ้ว (semal tree)
งิ้วเป็นพืชในสกุลบอมแบ็กซ์ (Bombax) มีลำต้นลักษณะคล้ายนุ่น ลำต้นสูงสีเทา มีดอกใหญ่สีแดง (ทางเหนือเรียกกันว่า เงี้ยว ด้วย) สีส้ม สีขาว และมีหนามที่ต้น ขณะที่นุ่นต้นเกือบเรียบ และมีหนามน้อยมาก เป็นต้นไม้เนื้ออ่อนค่อนข้างใหญ่พบขึ้นเองตามธรรมชาติ ให้ผลเมื่ออายุ ๕-๖ ปี โดยเมื่ออายุ ๑๐ ปี ให้ผลมาก กล่าวกันว่าแต่และต้นให้ปุยและเมล็ดหนักประมาณ ๕-๒๐ กิโลกรัม ออกดอกระหว่างเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ หลังจากนั้น ๒-๓ เดือน ผลจากการผสมเกสรก็ให้ปุยที่เก็บได้ จึงเริ่มเก็บฝักซึ่งส่วนใหญ่เล็กกว่านุ่น แต่มักจะมีปัญหาฝักแตกให้ปุยกระจายปลิวตามลมไป งิ้วให้ปุยที่มีคุณภาพและเป็นที่นิยมกว่านุ่น เพราะเส้นใยกลวงเหมือนนุ่น คืนตัวหรือยืดหยุ่นได้ง่ายเมื่อถูกบีบหรือทับ(เมื่อใช้หนุนศีรษะ) ไม่หักป่นเหมือน ทำให้ใช้ประโยชน์ได้นานกว่า
ผลหรือฝักของงิ้วค่อนข้างสั้น และไม่ค่อยอยู่รวมกันเป็นกระจุก หรือดกเหมือนนุ่น ตลอดจนติดฝักไม่ค่อยดี ช่วงการออกดอกสั้น เมื่อเปรียบเทียบกับนุ่น ซึ่งทยอยออกมาก (โดยยังพบดอกได้ในเดือนกุมภาพันธ์ เมื่อเริ่มมีฝักขนาดโตแล้ว)
รัก (crown flower, giant milk weed, Akund floss)
รักจัดว่า เป็นวัชพืช และพืชเป็นพิษ เป็นไม้พุ่มเนื้ออ่อนอายุหลายปี ต้นขนาดย่อม ไม่สูงมากนัก ขยายพันธุ์ได้ โดยใช้เมล็ดและกิ่งปักชำ เริ่มมีดอก เมื่ออายุประมาณ ๑ ปี โดยออกดอกตามยอดของกิ่งเป็นช่อ ใน ๑ ช่อจะมีประมาณ ๑๕-๒๐ ดอก สีขาวและสีม่วง แต่ดอกมักจะร่วงหล่นไปเป็นส่วนใหญ่ ผลหรือฝักคล้ายนุ่นค่อนข้างอวบ ให้ผลดกเมื่ออายุ ๔-๘ ปี ฝักแก่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔ เซนติเมตร ยาว ๑๐ เซนติเมตร มีรอยแตกตามแนวยาวภายในมีเส้นใย ซึ่งตรงปลายมีเมล็ดติดอยู่รวมเป็นแท่ง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑ เซนติเมตร เมื่อฝักแก่จัดจะแตกทำให้เส้นใยฟูและพองตัวกระจายออกปลิวไปตามลมเช่นเดียวกับงิ้ว ฝักจะมีเส้นใยประมาณ ๐.๗ กรัม เมล็ดประมาณ ๑ กรัม เปลือกประมาณ ๑.๓ กรัม ก้านฝักประมาณ ๐.๕ มีผู้กล่าวถึงการใช้ประโยชน์ทางด้านสิ่งทอของรักในประเทศบราซิล และอินเดีย และใช้ประโยชน์แบบปุยนุ่น
รักมีเส้นใยยาว ๑(๓/๓๒) - ๑(๓/๑๖) นิ้ว มีการรายงานว่า ต้นรักให้ผลิตผลเส้นใยประมาณต้นละ ๑๒๕ กรัมต่อต้นต่อปี เมื่อนำไปปั่นด้ายทอผ้า ก็เกิดปัญหายุ่งยากมาก ต้องใช้ผสมกับฝ้ายในอันตราครึ่งต่อครึ่ง
ในการปลูกรักแบบสวนผักที่มีร่องน้ำ เพื่อเก็บดอกขาย กสิกรมักพบปัญหายางจากต้นรักกัดหรือเป็นพิษต่อมือ ทำให้ระคายเคือง นอกจากนั้นในระหว่างดูแลรักษา ต้องฉีดพ่นสารกำจัดแมลงทุก ๒ สัปดาห์ สารกำจัดวัชพืชพาราควอท (paraquat) ทุก ๓ เดือน และให้ปุ๋ยยูเรียซึ้งให้ไนโตรเจนทุก ๒ เดือน ถึงแม้จะให้ดอกดกในบางระยะ และมีการปล่อยดอกติดกับต้นไว้ แต่ก็ติดฝักน้อยคือ เพียง ๑๐ ฝักต่อต้น