ในการทำหน้าที่การตลาดมีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาก ลองพิจารณาข้าวสารที่ผู้บริโภคซื้อขณะที่ชาวนาผลิตและขายข้าวเปลือกการตลาดเริ่มเมื่อพ่อค้าในหมู่บ้านออกรับซื้อข้าวเปลือก รวบรวมให้มีสินค้ามากพอขนส่งไปขายโรงสี สีแล้วบรรจุกระสอบขนาด ๑๐๐ กิโลกรัม แยกตามชนิดขายต่อให้พ่อค้าขายส่งภายในประเทศส่วนหนึ่งขายให้กับผู้ส่งออก ผู้ส่งออกจัดคุณภาพใหม่บรรจุใหม่แล้วส่งจำหน่ายต่างประเทศ ในส่วนที่จำหน่ายภายในประเทศพ่อค้าขายส่งอาจจะบรรจุใหม่ ถุงละ ๒-๕ กิโลกรัม พิมพ์ยี่ห้อการค้าหรือตราบริษัทแล้วจำหน่ายให้ร้านค้าปลีกอาจจะมีการโฆษณา สินค้าชนิดอื่น ๆ ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นผัก ผลไม้ หรือเนื้อ ต่างก็ต้องการการบริการหรือหน้าที่ในการตลาดมาก
โดยสรุปการตลาดทำหน้าที่หลักในสามเรื่อง คือ
(๑) ทำหน้าที่ในการแลกเปลี่ยนสินค้า คือ การซื้อ-ขาย ระหว่างพ่อค้าในตลาดแต่ละระดับ
(๒) ทำหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับสินค้า เช่น รวบรวม ขนส่ง เก็บรักษาหรือแปรรูปสินค้าอย่างหนึ่ง ให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง
(๓) ทำให้การซื้อขายได้ดำเนินไปได้สะดวก เช่น มีการแยกสินค้าเป็นพวก ๆ เป็นชนิด มีการให้กู้ยืมเงินเพื่อนำไปซื้อสินค้า มีการประกันภัยเพื่อประกันความเสี่ยงในช่วงขนส่งหรือระหว่างเก็บรักษาสินค้า การให้บริการข่าวสารด้านการตลาดและการโฆษณา
ลองพิจารณาสินค้าอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกันกับข้าวสาร เช่น ผัก ผลไม้ ต่างก็ต้องรวบรวมมาจากแหล่งผลิต ขนส่งกันมาเป็นทอด ๆ กว่าจะถึงพ่อค้าขายปลีกและสินค้าบางชนิดต้องทำหน้าที่เหล่านี้ด้วยความรวดเร็ว เช่น ผักและผลไม้เพราะเป็นสินค้าที่เน่าเสียง่าย
การทำหน้าที่ข้างต้นจะต้องมีผู้ที่เกี่ยวข้องมากเพราะบางหน้าที่ เช่น การซื้อขายก็มีตลาดหลายระดับ เช่น ตั้งแต่แหล่งผลิตในหมู่บ้าน ในระดับอำเภอ ตลาดกลางที่เป็นศูนย์กลางระดับภูมิภาค อาจจะเป็นในจังหวัด ตลาดในเมืองใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง เช่น นครราชสีมา เชียงใหม่ สงขลา กรุงเทพมหานคร และระดับค้าปลีกซึ่งกระจัดกระจายทั่วไป ในแต่ละระดับก็มีการขนส่งมีการเก็บรักษา แต่ละหน้าที่ในตลาดแต่ละระดับก็มีผู้ทำหน้าที่มาก การทำหน้าที่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายซึ่งประกอบด้วยค่าใช้จ่ายจริง เช่น ค่าขนส่งและค่าใช้จ่ายที่ผู้ทำหน้าที่คิดว่าควรจะได้ซึ่งเป็นผลตอบแทนหรือกำไร ถ้ารวมค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเป็นเงินมากมายเป็นยอดเงินที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายในการซื้อสินค้าระดับขายปลีกเมื่อลบด้วยค่าใช้จ่ายในการตลาดแล้วจะเหลือเป็นเงินที่ผู้ผลิตได้รับ เช่น ส้มเขียวหวานสมมติว่าผู้บริโภคซื้อกิโลกรัมละ ๑๕ บาท แต่ชาวสวนได้รับกิโลกรัมละ ๔ บาท ส่วนที่ต่างกันกิโลกรัมละ ๑๑ บาท ก็ต้องถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการตลาดซึ่งรวมทั้งค่าใช้จ่ายจริงและกำไรของผู้ทำหน้าที่การตลาด