เนื้อหาของจารึกวัดพระเชตุพนแบ่งได้เป็น ๕ หมวด ดังนี้
ว่าด้วย
ว่าด้วย
“ว่าพระชนกดาบศคิดจะลาพรตจึงภานายโสมผู้ศิษย์ออกไปบริเวณพระไทรย ขุดหาพระราชบุตรีซึ่งฝังไว้ไม่ภพพระดาบศจึ่งให้นายโสมเข้าไปในเมืองมิถิลา บอกอำมาตย์ให้จัดคู่โคและกระบือออกมาจะไถหานางกุมารีซึ่งฝังไว้ เรื่องรามเกียรติ์ที่จะต่อไปจงไปดูที่พระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดารามด้านประตูข้างเหนือโน้นเถิด”
ในประเทศไทยคัมภีร์มหาวงษ์ก็เข้ามาเป็นที่รู้จักตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้แปลคัมภีร์นี้เป็นภาษาไทย ๓๘ ปริเฉท เนื้อเรื่องของมหาวงษ์ที่จารึกไว้นั้นย่อมาจากฉบับแปลในรัชกาลที่ ๑ กล่าวถึงกำเนิดของสีหะภาหุผู้สร้างเมืองสีหะปุระ (ลังกา) จนถึงเรื่องของพระเจ้าอภัยทุฐผู้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา จารึกมีทั้งหมด ๓๒ แผ่น ประดิษฐานอยู่ที่พระวิหารพระพุทธไสยาสน์
ถึงแม้จารึกเรื่องนิทานอิหร่านราชธรรมจะมีเหลือเพียงไม่กี่แผ่น (ผู้สนใจอาจศึกษาได้จากฉบับเต็มที่มีชื่อว่า นิทานอิหร่านราชธรรมฉบับหอสมุดแห่งชาติ) แต่ก็นับเป็นตัวอย่างที่ดีที่แสดงถึงธรรมะของผู้ครองแผ่นดิน
ในบรรดาผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการจารึกสรรพวิชาลงในจารึกวัดพระเชตุพนนั้นก็ คือ สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรส ผู้ทรงเป็นรัตนกวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระนิพนธ์ในพระองค์ได้รับการยกย่องว่า เป็นเลิศทางวรรณศิลป์ ไพเราะด้วยภาษาที่ถูกต้องตามแบบแผน อีกทั้งฉันทลักษณ์ที่ใช้ก็เป็นแบบฉบับที่เป็นมาตรฐาน ทั้งนี้หมวดอักษรศาสตร์และหมวดวรรณคดีนั้น สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงรับเป็นธุระในการเลือกสรรเรื่องที่จะจารึก ซึ่งได้แก่ ตำราฉันท์วรรณพฤติ ๕๐ แบบ และกลบท การที่ทรงเลือกฉันท์และกลบทมาเป็นแบบอย่างนั้นก็เพื่อที่จะได้ทะนุบำรุงความรู้ทางอักษรศาสตร์ให้เฟื่องฟูมิให้มีสภาพถดถอย ดังความที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชปรารภไว้ว่า
ด้วยก่อนเก่าเหล่าลูกตระกูลปราชญ์
ทั้งเชื้อชาติชนผู้ดีมียศศักดิ์
ย่อมหัดฝึกสึกสาข้างอาลักษณ์
ล้วนรู้หลักพากย์พจน์กลบทกลอน
ทุกวันนี้มีแต่พาลสันดานหยาบ
ประพฤทบาปไปเสียสิ้นแผ่นดินกระฉ่อน
จะหาปราชญ์เจียนจะขาดพระนคร
จึงขอพรพุทธาไตรญาคุณ
(คัดลอกตามต้นฉบับ)
ในสมัยรัตนโกสินทร์สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสได้ทรงแปลงฉันท์วรรณพฤติต่อจากโบราณาจารย์อีก ๔๔ ฉันท์ เพื่อเป็นแบบฉบับที่สมบูรณ์ ๕๐ ฉันท์ ดังความที่พระองค์ได้ทรงปรารภไว้เบื้องต้นว่า
ตูผู้ผนวชเสนอนามยศ กรมนุชิตชิโนรส รจิตประดิษฐ์แสดงสาร
พฤตโตไทยฉันทตำนาน แปลเปลี่ยนโวหาร มคธคัมภีร์ภาษา
แปลเป็นสยามพากย์พจนา ต่อเติมโบรา- ณะแบบบัญญัติฉัฏฐฉันท์
ฉันท์วรรณพฤติ ๔๔ ฉันท์ ที่ทรงนิพนธ์นี้นอกจากจะมีความไพเราะเป็นเลิศแล้ว ยังถือเป็นต้นแบบของการแต่งฉันท์ซึ่งเป็นคำประพันธ์ชั้นสูงที่ได้รับการยกย่องจากนักปราชญ์ราชบัณฑิตว่าต้องใช้ฝีมือในการประพันธ์ หากแต่เนื้อเรื่องในแต่ละตอนที่ทรงเลือกสรรมานั้นเป็นพระพุทโธวาทที่สั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนหลีกเลี่ยงสาเหตุของความประพฤติที่ไม่สมควร เช่น โทษของการดื่มสุรา การเที่ยวกลางคืน การเที่ยวดูมหรสพ การเป็นนักเลง อาจกล่าวได้ว่างานพระนิพนธ์มีความสมบูรณ์ทั้งรสคำและรสความมีคุณค่าเปี่ยมล้นทางวรรณศิลป์และข้อคิดเตือนใจ
นอกจากนี้สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมสมเด็จพระปรมานุชิตชิโนรสทรงแปลงฉันท์มาตราพฤติที่มีอยู่ ๒๗ ฉันท์ ออกเป็นฉันท์ไทยอีก ๘ ฉันท์ ดังความที่ว่า
อีกมาตราพฤติเพียรนิพนธ์ อัษฎาพิธดล ตำหรับแต่ปางไม่มี
สฤษฎิไว้ในโลกเฉลิมศรี อยุทธเยศธานี ทำนุกพระเกียรติกระษัตรา
จงยืนอยู่ชั่วกลปา วสานสืบสา ธุชนเชี่ยวเฉลียวเชลง
ตำรายาว่าด้วยตำรายาที่มีสรรพคุณแก้โรคทั้งปวง แต่ก่อนที่จะให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวยาก็มีการอธิบายว่าด้วยลักษณะของโรค เช่น ไข้ (ซึ่งในจารึกว่า ไข้วิปริต) ๑๘ ประการ ลักษณะตานซาง ลักษณะและการเกิดของซาง ลักษณะและการเกิดของลมในร่างกายซึ่งโบราณถือว่าเป็นสมุหฐานสำคัญของการเกิดโรคมี ๑๘ ประการ ริดสีดวง ๑๘ ประการ ลักษณะของกระษัยโรค ๑๘ ประการ ลักษณะของเกลื้อนกลากและคุดทะราดยาน้ำมันต่าง ๆ จากนั้นก็จะให้วิธีแก้ คือ ตัวยา ดังเช่น
“ในที่นี้จะกล่าวแต่เกลื้อนอันบังเกิดแต่ กองอาโปธาตุ วาโยธาตุนั้นก่อนเป็นปฐม คือ เกิดเสโทเป็นต้นเหตุ เมื่อแรกขึ้นมีสีอันขาวเป็นนวลและวงแว่นเล็กก็มี แว่นใหญ่ก็มี ผุดเป็นแห่ง ๆ เรี่ยรายไปตามผิวเนื้อ ถ้าเสโทตกมากและเกลื้อนนั้นก็ผุดขึ้นมามากแล้วกระทำให้คันเป็นกำลังจึงได้ชื่อว่าเกลื้อนนวลแตงจำพวก ๑ และเกลื้อนบังเกิดแต่กองวาโยธาตุนั้น เกิดแต่อังควาตให้เป็นเหตุเมื่อแรกขึ้นมีสีอันขาวพร้อย ๆ เป็นช่อ ๆ กระทำให้คันยิบไปดังตัวไรจึงได้ชื่อว่าเกลื้อนดอกหมากจำพวก ๑ อันเกลื้อน ๒ จำพวกนี้ สรรพยาแก้ได้ดุจกันตามอาจารย์กล่าวไว้นี้ขนานหนึ่งเอาใบลำโพงแดงใบชุมเห็ดเทศเอาสิ่งละ ๑ ส่วน ขมิ้นอ้อย ๒ ส่วน สานหยวก ๓ ส่วน ทำเป็นจุณเอาสุราเป็นกระสายบดทำแท่งไว้ละลายน้ำมะนาว แก้เกลื้อนนวลแตง และเกลื้อนดอกหมากให้หายสิ้น วิเศษนัก”
ในตอนท้ายของตำรายามีความกล่าวไว้ว่า
“- สรรพยา ๓ ขนานนี้ ของข้าพระพุทธเจ้า หมื่นเวชาแพทยาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ขอเดชะได้ใช้แล้ว”
“- สรรพยา ๓ ขนานนี้ ของข้าพระพุทธเจ้า หลวงทิพย์รักษาทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ขอเดชะได้ใช้แล้ว”
“- สรรพยา ๔ ขนานนี้ ของข้าพระพุทธเจ้า ขุนราชโอสถทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ขอเดชะได้ใช้แล้ว”
ทั้งนี้เพื่อเป็นการยืนยันว่าส่วนผสมและสรรพคุณของยาตำรับนี้เคยทดลองใช้มาแล้วและไม่มีการปิดบังตัวยา เพราะแต่เดิมมานั้นการสงวนวิชาซึ่งจำกัดแต่เฉพาะหมู่เหล่าเดียวกันเป็นเรื่องธรรมดาในหมู่คนไทยมีเรื่องเล่ากันว่า ผู้มอบตำรายานั้นถึงกับต้องแสดงความซื่อสัตย์ไม่ปกปิดข้อมูลด้วยการสาบานก่อน
มีข้อสังเกตว่าตำรายาบางตำราได้อ้างแหล่งที่มาด้วย เช่น อ้างว่าได้มาจากฤาษีบางรูป เช่น “สิทธิการิยะจะกล่าวลักษณะกำเนิดแห่งลมอันจะบังเกิดแก่บุคคลทั้งหลายในโลกนี้ อันพระมหาฤษีเจ้าสำแดงไว้ในคัมภีร์ฉันทวาตปฏิสนธิ ๔๖ จำพวกนั้น” (ศาลา ๔), “จึงพระฤาษีธรรมเทวดาให้แต่งยานี้แก้” (ศาลา ๔), “ลำดับนี้จะกล่าวด้วยนัยหนึ่งใหม่ว่าด้วยลักษณะไข้วิปริตปฐมเหตุอันบังเกิดในอหิวาตกภัยมีประเภท ๑๐ ประการ อันพระดาบสทั้ง ๔ พระองค์ เธอรจนาลงไว้แล้วให้นามบัญญัติชื่อว่า คัมภีร์ตักกสิลา” (ศาลา ๔) ทั้งนี้คงเป็นการเพิ่มความสำคัญของตำรายา